ในตอนนั้นสิ่งที่ผมพยายามอย่างหนักคือการอ่านหนังสือ...ผมไม่รู้เลยว่าด้วยแนวคิดเรื่องการพยายามมันจะมีผลต่อทุกเรื่องในชีวิตหลังจากนั้น เพราะผมไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาในชีวิตครับ ผมจะสู้ๆๆๆ และก็สู้ให้ถึงที่สุดถ้าเรื่องนั้นมันจะทำให้ความฝันของผมเป็นจริง.
ย้อนกลับไปที่อดีตของบ้านผมนิดหนึ่ง...อากงกับอาม่าของผมเป็นชาวสวนครับ ทำไร่ ทำสวน และขายถ่านที่เอาไว้ก่อไฟ บ้านของอากงอยู่ที่จังหวัดปราณบุรี ดังนั้นพ่อและแม่ก็ผมก็เลยเป็นคนปราณบุรี แต่ตัวผมนั้นเกิดที่กรุงเทพ ผมโชคดีเกิดในยุคสมัยที่สบาย อยากได้อะไรก็ได้ ผมเป็นลูกชายคนโตของลูกชายคนโตตามหลักของคนจีนแล้วจะเป็นที่รักครับ จะโดนตามใจ แค่ชี้นิ้วก็ได้ของเล่นแล้ว...ซึ่งตัวผมในวัยเด็กนั้นนิสัยเสียมาก บางคนอาจจะมองว่าเป็นเพราะวิธีการเลี้ยงลูกเลยทำให้เด็กเสียนิสัย แต่ผมมองว่าเราจะไปโทษพ่อแม่เด็กไม่ได้ เพราะรุ่นพ่อแม่เค้าใช้ชีวิตกันลำบากพอมีลูกก็อยากให้ลูกสบาย ดังนั้นมันอยู่ที่ตัวเด็กว่าจะคิดได้เองหรือเปล่า แต่การที่จะให้คิดเองได้นั้นผมมองว่ามันประกอบไปด้วย หลักการสอนจากครอบครัว + สภาพแวดล้อมของคนรอบข้าง + จุดเปลี่ยนสำคัญๆในชีวิต + ความดื้อในตัวเรา และที่สำคัญเลยคือเป้าหมายของตัวเรารวมไปถึงเพื่อนๆที่พร้อมจะไปตามล่าความฝันนั้นกับเราในเส้นทางเดียวกัน.......
พอโตมาผมก็เริ่มคิดได้ว่าผมต้องเลยทำอะไรสักอย่างตอนนั้นอายุ 15 ปีน่าจะได้ก็เดินไปนั่งเล่นร้านทองของญาติฝ่ายแม่...ลูกพี่ลูกน้องของผมนั้นเล่นหุ้นครับ เค้าก็คุยกันเรื่องนี้ตัวผมเองฟังๆไปเลยสนใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าหุ้นคืออะไรแต่คิดว่าก็เท่ดี...ก็เก็บไปคิดๆแล้วก็ลืม แต่ตอนนั้นไปแอบซื้อหนังสือของ Warren Buffett มาอ่านแต่อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะ skill ยังไม่ถึงอ่านแล้วงง ฮ่าๆๆๆ จากนั้นเวลาก็ผ่านไป 3 ปีน่าจะได้ก็คงอายุประมาน 18 ปี ในช่วงเวลานี้ผมได้รู้จักกับพี่ท๊อปแล้ว(Topbeatbox).....พอดีว่าในช่วงนั้นผมเริ่มอ่านหนังสือพวกธุรกิจแล้วสนใจแต่ไม่มีทุน ก็ไม่กล้าไปขอที่บ้านหรอก เพราะเรายังเป็นแค่เด็กยังไม่ได้มีการ Prove ตัวเราเองเลยใครจะมาเชื่อ...และช่วงนั้นผมก็เริ่มไปคุยมุมมองธุรกิจกับอาเจ็ก(น้องชายพ่อ)บ่อยๆ อาเจ็กผมได้ให้แง่คิดต่างๆมากมาย แต่มีอันหนึ่งที่ผมจำมาถึงทุกวันนี้แล้วพูดกับเพื่อนบ่อยๆนั่นคือ "รุ่นพ่อแม่เราอะลำบาก แต่เค้ายังหาเงินส่งพวกมึงเรียน เลี้ยงพวกมึงมาให้เรียนที่ดีๆกินอยู่อย่างสบายแบบนี้ได้เลย ทั้งๆที่พวกเค้าเริ่มจาก 0 บาท ดังนั้นรุ่นมึงเนี่ยมีต้นทุนถ้าอายุเท่าพ่อในตอนที่หาเงินได้ แต่หาได้น้อยกว่าแปลว่ามึงอ่อนและกระจอกเกินไปแล้ว...มึงต้องมีอย่างน้อย 1 เท่าจากที่พ่อมี เช่นพ่อมึงมี 1 ล้านตอนอายุ 18 ปี มึงต้องมี 2 ล้าน เพราะมึงมีต้นทุนแล้วทำไมยังอ่อน" .
****ในมุมมองของผมตอนนี้มองว่าเด็กที่อ่อนๆทำตัวสบาย อ้าปากขอเงินพ่อแม่ไปวันๆนั้นสู้พ่อแม่ไม่ได้ทั้งๆที่พวกท่านนั้นไม่มีต้นทุนอะไรมากมาย แต่เราก็ยังสู้ไม่ได้ในช่วงอายุเท่าพวกท่านมันเป็นเพราะว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สบายเกินไป(พ่อแม่เลี้ยงดีเกินไป) เราต้องเอาตัวเราออกจาก comfort zone ให้ได้เราถึงจะประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่น****
หลังจากฟังอาเจ็กพูดว่าพ่อผมเริ่มตั้งแต่ 0 บาท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีเงินในการสร้างธุรกิจจะทำยังไงให้หาเงินก้อนนั้นมาได้....ผมก็เลยกลับมาแอบถามแม่ครับคำตอบที่ได้คือ เริ่มมาจาก 0 บาทจริงๆ โอ้พระเจ้า ....ตอนนี้ในหัวผมเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่าป๊าผมทำยังไง สุดท้ายก็หาคำตอบมาจนได้-----คือในตอนนั้นอย่างที่ผมบอกไปอากงอาม่าผมจนครับเรื่องเงินทุนไม่ต้องพูดถึง...สิ่งที่ป๊าผมทำก็คือเป็นนายหน้าค้าที่ดินครับใช้แค่ปากพูดออกไปก็ได้เงินแล้ว คือป๊าผมเป็นคนพื้นที่ครับรู้จักคนเยอะและที่สำคัญรู้จักที่ดินแถวนั้นดี...มีแต่คนบอกว่าป๊าผมเป็นคนพูดเก่ง เป็นนักพูดที่ดี เจรจาได้เยี่ยม(Persuasive and negotiation skill) คงอาจจะเป็นพรสวรรค์แต่ไม่รู้ตัว...ป๊าผมบอกว่ามันเกิดมาจากความบังเอิญ พอดีมีนายหน้าค้าที่ดินที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จังหวัดประจวบฯ บอกกับป๊าว่าหาที่ตรงนี้ๆให้หน่อยมีคนอยากได้ ถ้าหาได้จะให้ % ด้วยความที่ว่าป๊าเป็นคนรู้จักคนเยอะและรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีก็เลยหาได้ครับ หลังจากพอขายที่ได้สำเร็จป๊าผมก็ได้ค่า % มาคิดเป็นเงินก็ประมาน 2 แสนกว่าบาทครับ นั่นเป็นเงินก้อนใหญ่สุดก้อนแรกที่ป๊าผมทำได้จากการเป็นนายหน้าค้าที่ดินครับ ได้เงินมาก็เอาไปสร้างบ้านให้อาม่าอากงใหม่อย่างสวยงาม....หลังจากนั้นป๊าก็ทำมาเรื่อยๆตอนใหม่ๆก็ตามไปดูงานกับผู้หญิงคนนั้น จนตอนหลังป๊าผมรู้วิธีทุกอย่าง หาลูกค้าเองได้เลยมาทำเองหมดเลย จนมีเงินครับ ป๊าผมมีเงิน 1 ล้านตอนอายุ 18 ปี (นี่ยังไม่รวมเงินเฟ้อ "inflation" นะเป็นสมัยนี้คงเยอะกว่านี้) เริ่มมาจาก 0 บาท ใช้แค่คำพูด make money ...แต่ตอนผมอายุ 18 ยังเที่ยวใช้เงินไปวันๆ ไปเดินสยาม กินของแพงๆ ซื้อเสื้อผ้า ตรงจุดนี้พี่ Topbeatbox รู้ดีเพราะผมไปเดินสยามกับมันนี่แหละ 5555
to be continued ตอนที่ 3 ครับ เพราะรู้สึกว่าเขียนเยอะไปแล้วเดี๋ยวคนจะขี้เกียจอ่านกัน เด็กไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 5 บรรทัด ฮ่าๆๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น