วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 6 Money shift part 1 by Nutty

วันนี้เริ่มอ่านหนังสือเล่มเก่าที่อ่านมาตั้งนานยังไม่จบซักที อ่านๆไปก็มันส์ ก็เลยอยากจะเอามาเล่าห้ฟังเล่นๆ ขำๆ แขนๆ สไตล์ภาษาชาวบ้านอ่านง่ายสบายบรึ๋ย

หนังสือเรื่อง Money shift เนี่ย คนเขียนต้องการที่จะสื่อถึงเทรนด์ของตลาดว่ามันไหลไปทางไหน แล้วเราควรจะทำตัวยังไงต่อไปเมื่อไม่มีเธอ .. หลักๆเลยเค้ามองดูเกี่ยวกับ Macro Factors อย่าง Demographic, politics และ finance อะไรประมาณนี้นะคะ ซึ่งเค้าเน้นย้ำว่ามันค่อนข้างสำคัญเลยนะที่เราจะเทรดเนี่ย ไอวิธีการเก่าๆอย่าง Passive investing ที่เคยช้นช่วง The great moderation เนี้ยมันช้ไม่ได้แล้ว เพราะตลาดมันผันผวนและซับซ้อนกว่าแต่ก่อนมากนัก เค้าจึงอยากจะเน้นว่าถ้าอยากลงทุน คุณควรจะเช็คข้อมูล เช็คปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อสินทรัพย์ตัวนั้นๆให้ดีซะก่อน เพราะบางคนเคยชินกับช่วงgreat moderation แล้วเอากลยุทธ์เดิมๆมาช้นช่วงนี้ เนื่องจากเคยชินกับตลาดที่ง่ายๆไม่ผันผวนมากนักของช่วงนั้น แต่วิธีบางอย่าง อย่าง Diversification ก็ยังคงช้ได้นะ เพียงแต่ต้องประยุกต์บ้าง การ Diversify พอร์ต แต่ก่อนเนี่ยอาจจะทำได้ง่ายนะ เพราะโลกมันไม่กลมบ๊อก คือมันไม่globalized เท่าตอนนี้ แต่ละประเทศก็มี business cycle ที่แตกต่างกัน เช่น เราซื้อหุ้นของประเทศเราและของประเทศอื่นที่correlation มันวิ่งคนละทาง สมมติเราซื้อหุ้นอเมริกากับญี่ปุ่น อเมริกาเจอหายนะไคจูบุก แต่หุ้นญี่ปุ่นวิ่งสวนทางกับหุ้นเมกาไรงี้(แค่สมมติว่ามันวิ่งคนละทางกัน) แต่นสมัยนี้โลกมันกลมยิ่งกว่าเก่า ถ้าพื้นติดกันได้มันคงติดกันไปแล้ว  business cycle ของแต่ละประเทศมันเชื่อมกันมากกว่าเก่า บางประเทศอาจวิ่งไปด้วยกันเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะdiversify ห้ดีก็ต้องกลับมาดูรายละเอียดและ economic reality ที่มันอยู่ข้างต้ ของแต่ละประเทศหรือธุรกิจหรือตลาดห้ดีซะก่อน นอีกมุมมองหนึ่ง เราควรจะต้องมองลึกถึงมุมมองด้านอื่นๆของธุรกิจนั้นๆซึ่งมีหลายปัจจัยมากมายยยยยยยย เช่น เทคโนโลยี การเข้าถึงตลาด ระดับของproductivity ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาช้ประโยชน์ได้กับทุกๆกลยุทธ์นการลงทุนเพราะข้อมูลคือพลัง มีก็ยังดีกว่าไม่มีช่มั้ยล่ะ.. (เพียงแต่ว่ามีบางทฤษฎีที่เขามองว่าตลาดคือการสมคบคิดกันระหว่างผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งอันนั้นก็คืออีกเรื่องหนึ่งในอีกมุมมองหนึ่ง)



นอกเหนือจากนั้นแล้วผู้เขียนยังได้พูดถึงว่าความรุ่งเรืองจากประเทศพัฒนาแล้วเริ่มที่จะย้ายไปสู่ตลาดเกิดหม่กันแล้ว  มีประโยคหนึ่งที่โดนNapoleon ได้กล่าวไว้ว่า “China is a sleeping giant. Let her sleep, for when she wakes, she will shake the world” นั่นถือว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยกับสถานะของจีน ณ ตอนนี้เมื่อเทียบกับสมัยก่อน พวกฝั่งตะวันตกเคยคิดว่าเศรษฐกิจของตนเองนั้นหญ่จนไม่มีครเทียบได้ จนกระทั่งยักษ์และผองเพื่อนตลาดเกิดหม่ตื่น ถึงกับผงะไปตามๆกัน เมื่อโลกเราเริ่มหมุนเร็วขึ้น เริ่มรวมกันเป็นหนึ่งมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ความศิวิไลซ์ต่างนำพาห้พวกเหล่าตลาดเกิดใหม่ที่ไม่มีครคาดคิดว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้ ต่างก็พากันเติบโต พากันร่ำรวยด้วยระยะเวลาที่เร็วขึ้นมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน นช่วงยุค renaissance นั้น Italy ช้เวลาถึง 455 ปีกว่าจะเพิ่มGDP ของประเทศห้อยู่นจุดที่เรียกว่าชนชั้นกลางได้  US ช้เวลาน้อยกว่าItaly เหลือเพียงแค่110ปีเท่านั้นที่นำพาประชาชีออกจากความยากจนได้ แต่ที่น่าประหลาดจไปกว่านั้นคือ เหล่าประเทศเกิดใหม่อย่าง จีน เวียดนาม อินโดนีเซียและ อินเดีย (เสียจไม่มีสยามเมืองยิ้ม) ช้เวลาเฉลี่ยเพียงแค่ 18ปีครึ่งเท่านั้น เท่านั้นจริงๆก๊ะ!! แชมป์มาแรงแซงทางโค้งของฝั่งตลาดอุแว้ๆ คือ พี่จีน อาตี๋อาหมวยอาต๋วยอาหมี ด้วยเวลาเพียงแค่12ปี และที่น่าstun ไปกว่านั้น คือ..  คือ... คือ.... ช่วง1990-2010 นั้น ดินแดนของชาวมังกรนั้นมีGDPเพิ่มขึ้นถึง 505.5% คำถามคือ? ทำได้ไงวะ?

ตอนนี้พึ่งอ่านไปนิดเดียวเอง ถ้ามีอะไรน่าสนใจหรืออยากแชร์ให้ฟังจะมาเขียนต่อนะคะ :D ลองอ่านดูนะ สนุกดี อริส์อริส์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น