วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 15 ความพ่ายแพ้ by Kanthorn


วันนี้ผมกับเพื่อนๆ 5 คน (3 ใน 5 คือตัวผม และ Boom, Mildshow) ซ้อมเล่น League of Legends กันครับ เพราะว่าวันศุกร์ที่จะถึงนี้มีนัดแข่งกับ MUIC ทีมของพี่ Topbeatbox นั้นเองเป็นการแข่งระหว่าง BUIC Vs. MUIC gamers .....การแข่งเกมส์มันก็คล้ายแข่งเทรดนั่นแหละครับจะมีการ Bet เงินเล็กๆน้อยๆกันเป็นแรงกระตุ้น.

วันนี้พวกผมเล่นกันไป 4-5 รอบ แพ้ทุกรอบครับ ฮ่าๆๆๆ ทำเอาทุกคนเซ็งอารมณ์ก็คงเหมือนนั่ง Day trade แล้วเจอ Loss ติดๆกันหลายวันอะไรประมานนั้น....แต่ถ้าตัวเรามองในแง่ลบก็จะเกิดความเครียด จะคิดแต่ว่าทำไมถึงแพ้ เสียเวลาเล่นไปตั้งเกมส์ละประมาน 1 ชั่วโมงแล้วยังแพ้อีกมันเสียเวลา....แต่ความเป็นจริงแล้วถ้ามองในแง่ของการพัฒนาตนเอง...มันคือการแพ้เพื่อทำให้ตัวเราเก่งขึ้น หรือแพ้เพื่อให้ทีมเราแกร่งขึ้น เพราะทุกครั้งที่แพ้เราจะได้เรียนรู้จากการต่อสู้นั้นๆว่าเรายังพลาดอะไรไปยังอ่อนตรงไหน ควรที่จะปรับปรุงเรื่องอะไรก็ว่าไป บางที Team flight อาจจะยังไม่ดีพอ.

ที่ผมชอบเกมส์นี้ก็เพราะว่ามันต้องทำงานกันเป็นทีม จะเก่งแค่คนเดียวมันไม่พอที่จะทำให้ทีมชนะได้ใน Long term ...มันเป็นเกมส์ที่ต้องใช้กลยุทธ์มากมายในการเล่นเหมือนการเทรดนั่นแหละ แล้วไหนยังจะต้องมี Reaction ที่ไวต่อการคลื่นไหวและประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมร่วมไปถึงการใช้ Intuition ในการเข้าไปฆ่าและหลบหนี....เอาเป็นว่าในมุมมองผมรูปแบบโครงสร้างของเกมส์นี้มันก็เหมือนกับสนามรบจำลอง บางครั้งมันก็เหมือนกับตลาดการเงิน...วิธีการเล่นมันก็คล้ายๆกับการเทรดในมุมมองของผม เช่นการเทรดเราต้องหา Zone เพื่อเทรด ส่วนการเล่นเกมส์นี้เราต้องไปปัก Ward ตามโซนต่างๆเพื่อที่จะได้มองเห็นคู่ต่อสู้ที่เดินผ่านมา !

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ถ้าเราอยากจะเป็น The best player เราต้องฝึกซ้อมบ่อยๆ แต่ที่ทีมผมชอบแพ้บ่อยๆ เพราะตัวผมเองนั้นมันอ่อนซ้อมเองแหละครับ จะมีแต่พี่ Mildshow ที่ซ้อมทุกวันมาอย่างยาวนาน แต่ตัวผมกับพี่ Boom นั้นนานๆเล่นที่(พี่บูมนั้นก็เอาแต่บ้าเล่นกล้ามกับตีกลอง ส่วนผมก็เอาแต่บ้าการเทรดกับอ่านหนังสือ)....แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับทีมพี่ท๊อป ฮ่าๆๆ .....ทีมผมเลยคุยกันว่าการที่เราเป็น under dog นั้นไม่มีอะไรจะต้องเสียทางเดี๋ยวที่เราจะเอาชนะทีม MUIC ได้นั้นคงต้องใช้กลยุทธ์ระดับเทพเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าพวกผมจะเอาชนะได้มั้ย แต่จะพยายามให้ดีที่สุด.

" ผมเชื่อว่ายิ่งทีมผมแพ้มากเท่าไร ทีมผมก็ยิ่งเก่งขึ้นมากเท่านั้น "

รอติดตามผลการ update แพ้ชนะได้วันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ.


Day 15 Difference Perspective on People's Growth by Topbeatbox

ผมมักจะได้ยินคำสอนแปลกๆเข้าหู ผมเสมอ มันเหมือนกับเป็นความเชื่อที่ส่งทอดกันมากันเป็นรุ่นๆ ในคำสอนต่างๆนานา มีทั้งใช้ได้จริงบ้างใช้ไม่ได้บ้างมันก็ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล บางคำสอนเก่าๆบางอย่างก็ยังคงใช้ได้ เช่น ด้านได้อายอด ล้านแรกหายากล้านต่อไปหาง่าย ความเพียรอุตสาหะนำมาซึ่งความสำเร็จ วันก่อนผมนั่งคิดเรื่อยเปื้อยว่า  ทำไมคนถึงคิดว่าคนที่รู้เยอะมากๆ จึงพัฒนาได้ช้าลง เพราะว่าความรู้มีจำกัดหรืออย่างไร? แต่พอมาเทียบกับบางคนกลับไม่เป็นหยั่งนั้น บางคนที่ผมเห็นพัฒนาเช้าเย็นเช้าเย็น เห็นความคลืบหน้าตลอด พัฒนาทักษะ เรียนรู้วิชาการ เรียนรู้ชีวิต ในความคิดผมนะคนที่ขยันและรอบรู้แบบจริงๆ คือคนที่มีความเพียรพยายามอย่างสูง เพราะฉะนั้นเขาจึงกลายเป็นคนรอบรู้ แต่ส่วนเรื่องทำไม่ทำก็อีกเรื่องนึง เพราะคนเรามีหลากหลายประเภท ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างคนที่ผมเคยเห็นละกัน ซึ่งเป็นคนประเภทค้นคว้าหาความรู้เพิ่มตลอด และพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นยังลงมือทำอีก ซึ่งคนประเภทนี้ถ้าเขายังสามารถทำแบบนี้เรื่อยๆ ผมคิดว่าไม่มีทางที่การพัฒนาจะช้าลงได้ คนเรามักคิดว่าการพัฒนาการณ์มีเพดาน เมื่อเราชนเพดานเราจะเริ่มพัฒนาช้าลงอย่างมีนัยยะ การพัฒนาการณ์มีเพดานจริงหรือไม่? ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากมาก แต่ที่แน่ๆความเอาจริง ความเพียรทำให้ถึงจุดนั้นแน่ๆ คนส่วนใหญ่ที่เก่งระดับโลก ผมไม่เคยเห็นเขาหยุดนิ่งสักทีเลย เขาล้วนแต่ดันตัวเองสูงขึ้นๆเรื่อยไป เว้นแต่ว่าเขาจะสร้างเพดานให้ตัวเอง เนื่องจากว่าเราทุกคน ยังคงเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่มีกำแพง แต่กำแพงของแต่ละคนจะหนาไม่เท่ากัน



วิธีทำลายกำแพง
1. เดินทางหาสิ่งที่เราไม่เคยเจอ หรือคิดไม่ถึง ให้รู้ว่าตัวเองนั้นยังด้อย
2. อย่าคิดว่ากำแพงมีอยู่จริง
3. การยอมรับสิ่งใหม่ๆจะช่วยชะลอการสร้างกำแพง



Topbeatbox # ชิวดิว่าาา

Day 14 จุดเริ่มต้น by nutty

จุดเริ่มต้น..

ปกติก่อนที่จะเริ่มเข้าตลาดเนี่ย เราก็มีเงินเย็นอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ฝากธนาคารไว้ก็ไม่คุ้ม ดอกที่ได้ก็ไม่พอกับอัตราเงินเฟ้อที่ขึ้นทุกปีๆ อยากจะฝากพันธบัตรรัฐบาลมันก็นานเกิน เผื่อต้องใช้ในยามฉุกเฉิน ตอนนั้นเราก็เลยสนใจที่จะลงทุนกับกองทุนมากที่สุด เลยนั่งหาๆข้อมูลกองทุนจากหลายๆธนาคาร ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับอะไรพวกนี้มากนักหรอก เห็นผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนก็คิดว่าเยอะแล้ว ตาโตเลย เลยรีบจัดแจงฝากเข้าไป พอดีเราลงแบบ3เดือนของไทยพาณิชย์ จำได้ว่าฝากไป 80000 ได้มาแค่ ประมาณ2พัน 3พันประมาณนี้ ภายใน 3เดือน ท้อปเห็นแล้วช็อค ประจวบเหมาะกับตอนนั้นคุณท้อปมีโปรเจคใหม่ เราเลยเอาเงินให้ท้อปไปเล่นให้ เราก็เลยกลับมานั่งคิดว่าอยากจะลองเทรดดู ซึ่งตอนแรกคิดว่ามันไม่ยากไงคะ ประกอบกับความน่าดึงดูดของมันที่แค่จิ้มๆก็ได้เงินแล้ว แต่จริงๆมันยากกว่าที่เราเห็นมากกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ! ถือว่าเป็นศาสตร์หนึ่งเลยที่ต้องยกนิ้วให้ ไม่ใช่แค่ต้องใช้นิ้ว แต่มันสมองและความพยายามต้องเป็นเลิศ

เราเริ่มเทรดตลาดหุ้นไทยตั้งแต่กลางปีที่แล้วค่า จริงๆอยากเล่นมาตั้งนานแล้วหล่ะ แต่พึ่งขอร้องให้ท้อปสอนให้ ปกติท้อปเค้าเล่นตลาดforexกับตลาดหุ้นอเมริกาอยู่แล้วล่ะ แต่พอดีตอนนั้นท้อปเริ่มสนใจอยากลองเล่นตลาดหุ้นไทยดู ก็เลยพากันไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับบัวหลวงผ่านธนาคารแถวมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเอกสารทุกอย่างก็เตรียมไปครบหมดแล้ว พอเซ็นต์เอกสารเสร็จ ทางสาขาย่อยก็จะส่งเอกสารไปให้สำนักงานใหญ่เพื่อดำเนินเรื่องขอเปิดบัญชีต่อไป โดยปกติการดำเนินการไม่ควรเกิน2-4อาทิตย์ ในเคสของเรากับท้อปใช้เวลาดำเนินงาน2-3เดือน ซึ่งของเราดำเนินการเสร็จสิ้น เปิดได้เรียบร้อย ส่วนเอกสารของท้อปเหมือนจะตกหล่นไป จนวันนี้บัญชีของท้อปก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ สุดก็ท้ายท้อปตัดสินใจไปเปิดบัญชีกับกิมเอ็งและโชคดีมากที่ได้ marketing ดี ทางกิมเอ็งเปิดบัญชีอาทิตย์เดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนนัตตี้ก็เริ่มเทรดหุ้นผ่านบัญชีของบัวหลวงไป จริงๆทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เราก็เริ่มสนใจที่อยากจะลองเล่นtfexบ้าง เลยไปเปิดอีกบัญชีกับบัวหลวง คือบัญชีtfexนี่เปิดยากกว่าบัญชีหุ้นธรรมดาเพราะความเสี่ยงสูงกว่ามาก ตอนแรกก็เกือบเปิดไม่ได้แล้วล่ะ แต่ไปขอร้องกับทาง marketing ไว้ จนสุดท้ายบัญชีก้ไปอนุมัติเรียบร้อย มาวันแรกด้วยความคึกคะนองอยากลองเล่นจัด เลยรีบเปิด Longไว้ไม้นึง จำได้แม่นยำว่าวันนั้นคือวันก่อนที่จะมีการประท้วงใหญ่ เปิดไว้วันแรกขึ้นมา 10จุด ด้วยความโลภและคิดว่าจะขึ้นต่อจึงไม่ปิด หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยก็ลงๆมาเรื่อยๆ จนติดหนักและปิดไม่ได้ เราก็เลยพยายามขอทางโบรคขอเครดิตสำหรับการเปิดtfexเพิ่มอีกหนึ่งไม้ เพียงแต่คราวนี้เราส่งข้อมูลให้แล้วทาง marketing ก็หายไปเลย เราจึงย้ายไปเปิดที่เดียวกับท้อปแทน เพราะเห็นว่าทาง marketing ของกิมเอ็งดูแลดีกว่า เช่นเคย เพียงอาทิตย์เดียวบัญชีก็เปิดได้เรียบร้อย ซึงเราไม่เข้าใจนะว่าทำไมการบริการมันถึงต่างกัน ก็เข้าใจแหละว่าทางบัวหลวงลูกค้าเขาเยอะ เลยอาจจะเกิดปัญหาอะไรบ้าง เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันไม่ควรจะเกิดเลยด้วยซ้ำ บางคนก็บอกว่าเพราะทางโบรคจะใส่ใจกับลูกค้ารายใหญ่ซะมากกว่า ก็ว่ากันไป พรุ่งนี้หรือมะรืนเลยกะจะย้ายเงินออกจากtfex ย้ายไปที่กิมเอ็งแทน เพื่อรอ MINI TFEX ด้วยความที่กลัวความเสี่ยงเลยไม่กล้าแตะTFEXตัวใหญ่ไปสักพักหนึ่งเลยหลังจากขาดทุนแบบเจ็บๆ ก็เลยรอTFEXตัวเล็กดีกว่า
นี่คือสิ่งที่นัตตี้คิดเกี่ยวกับการเทรดตอนแรก


นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 13 ใน 1 วันที่มีความหมาย by Kanthorn




วันนี้งดวิชาการสักนิด ขอผมพักสมองบ้าง ฮ่าๆๆ

วันนี้เป็นอีก 1 วันที่มีความหมายสำหรับผมครับ เพราะมันคือวันรับปริญญาของแฟนผม และเป็นอีก 1 วันที่น่าปวดหัวมาก....วันนี้ผมตื่นเช้ามากๆ ทั้งที่มีเรียนตอน 11 โมง แต่ต้องรีบตื่นเช้าออกไปถ่ายรูปกับที่บ้านแฟนที่ศูนย์สิริกิตครับ....นัดกับคุณแฟนไว้ 10 โมง ....9 โมงผมไปนั่งกิน Starbucks ทองหล่อรอเวลาแล้วก็นั่งทำการบ้าน Persuasive ไปด้วยเป็นงานที่ต้องใช้หัวคิดพอสมควร แล้วไหนจะต้องเทรด TFEX อีก เพราะระบบเก็บ Cash Flow มันได้เวลาทำงานมา 2 วันแล้ววันนี้เป็นวันที่ 3 ต้องเก็บต่อ แต่ถ้าไปถ่ายรูปกับแฟนนั้นผมจะทำการบ้านไม่ทันไปให้อาจารย์ตรวจตอน 11.20 และผมก็จะเทรด S50M14 ตัวที่จะเก็บ CF ไม่ได้ ตอนตลาดเปิด 9.45 ! (โอ้ เกือบลืมระบบเก็บ CF ของ JPY/USD ก็ได้ช่วงเทรด)

ดังนั้นผมเลยตัดสินใจใช้สมองอันน้อยนิดของผมตัดสินใจว่าจะทำทุกอย่างไปพร้อมๆกันให้ได้ แต่แล้วผมก็ทำได้แค่ 2 อย่างจาก 4 อย่าง ฮ่าๆๆ
1.ผมไปถ่ายรูปกับที่บ้านแฟนได้สำเร็จ
2.ทำการบ้านได้สำเร็จ....(ไม่ได้เขียนลงกระดาษแต่ใช้นั่งวาดภาพนั่งนึกโครงส้รางของสิ่งที่จะเขียนลงไปซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับวิชา Persuasive writing T_T แต่ผมก็ทำเสร็จจนได้ในหัวผมตอนขับรถไปจอด)

---ส่วนอีก 2 อย่างที่ทำไม่ได้คือ เทรด TFEX และ JPY/USD ....ถึงแม้มันจะเข้าระบบผมก็ตาม ถ้าได้นั่งเทรดยังไงก็กำไรอันนี้มั่นใจ...แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือคนเราไม่สามารถทำอะไรพร้อมๆกันได้ในทีเดียว มันต้องจัดเรียงตามความสำคัญ และช่วงเวลา....และผมก็คิดได้ว่า " ความรักเรื่องใหญ่ หาเงินช่างแม่ง " ที่ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่ผมขี้เกียจทำงานนะ แต่ผมมีแฟนคนเดียวแฟนผมรับปริญญาตรีได้ 1 ครั้งในชีวิตเท่านั้น แต่ผมสามารถหาโอกาสจากการเทรดได้ตลอดชีวิตจนกว่าผมจะตาย ! ดังนั้นเรื่องเงินเรื่องเล็กพลาดวันนี้ไปก็แค่ไม่กี่หมื่นหาเมื่อไรก็ได้...แต่ถ้าพลาดวันดีๆวันนี้ไปจะไม่ได้ไปตลอดชีวิต ^_^ .---

สุดท้ายแล้วก็ถ่ายรูปกับที่บ้านแฟน และส่งเข้าหอประชุมเสร็จผมก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไปที่มหาลัย...ที่ต้องใช้บริการพี่วินเพราะผมสายแล้วเดี๋ยวจะเรียน Persuasive writing ไม่ทันแล้วไหนจะต้องเขียนที่คิดได้ลงกระดาษอีก (กล้วว่าจะลืม) ......พอถึงก็รีบวิ่งเอาของไปเก็บที่ลานจอดรดแล้วก็ที่ห้องเรียนในใจก็คิดว่าร้อนชิปหายเบยยย เหงื่อแตก หัวฟู ไม่เท่ ฮ่าๆๆ ไปถึงสรุปอาจารย์ยังไม่มาในห้องมีพี่ Boom นั่งรออยู่กับเพื่อนอีกคน ทั้งๆที่ใน Class นี้ต้องมีประมาน 20 คน สงสัยมันท้อกันหมดละยากเกินวิชานี้....ดังนั้นผมเลยมีเวลานั่งเขียนงานจนเสร็จและอาจารย์ก็มาพร้อมกับคำพูดที่ว่า " I'm so sorry. I woke up so late! " ทั้งที่สายไปประมาน 30-40 นาที......ในใจผมก็คิด What the freakkkkk แล้วจะให้กรูรีบทำไม ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับทำงานส่งรอบแรกผ่าน.

"บางครั้งในวันที่มึนๆก็มีเรื่องดีๆซ่อนอยู่ครับ...ทำอะไรแปลกๆบ้างที่ไม่เคยทำบ้างก็ได้มุมมองดีครับ"

พอเรียนเสร็จวิชา Marketing ที่เป็น class สุดท้ายก่อน Final exam เสร็จ 4.30 ผมก็พา 3 หนุ่ม The gang ผมไปถ่ายรูปกับแฟนผมอีกรอบที่งาน จากนั้นก็มีเพื่อนๆที่คนรู้จักมาเจอกันที่งานหลายคน...และแล้วงานวันนี้ก็จบลงผมพาแฟนไปกิน Torajiro สุขุมวิท 39 ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านประจำ...กินกัน 2 คน 1,000 บาทพอดีเลขสวย...จากนั้นก็ไปส่งแฟนที่บ้าน ผมขับรถกลับถึงบ้าน 10.30 pm.

---มุมมองที่ได้จากวันนี้คือเงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่การได้อยู่กับคนที่เรารักนั้นสำคัญกว่า เพราะเงินผมรู้วิธีหาอยู่แล้ว และผมก็มีโอกาสหามันแบบนั้นได้ทุกวัน...บางครั้งการใช้ชีวิตทวนกระแสก็ทำให้เกิดความเครียดได้ การได้ทำอะไรตามกระแสไปเรื่อยๆมันจะทำให้เรามีความสุข พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่าเราได้ย้อนเวลากลับมาแก้ไขมันไปแล้ว ----



วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 14 Record by Topbeatbox

วันก่อนผมได้คุยกับผู้ใหญ่ท่านนึง ซึ่งเขาจดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั้งการจ่ายเงินกินข้าวแบบ 40 บาท เขาบอกว่าเราจะได้รู้รายรับรายจ่าย และสามารถวางแผนในระยะยาวซึ่งจริงๆแล้วผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก เพราะมันดีจริงๆ ข้อดีของการจดทุกอย่างคือ การตรวจสอบย้อนหลัง เมื่อเรามีปัญหาทางด้านการเงิน เราจำเป็นที่จะต้องหาต้นตอของการใช้เงินที่มากเกินไป ในเดือนๆนึงเราไม่สามารถจำทุกอย่างในสมองได้หมดหรอกว่าเราใช้อะไรบ้างทำอะไรบ้าง พอเราไม่สามารถจำได้หมดเราก็ไม่รู้ว่าปัญหาด้านการเงินอยู่ที่ไหน แต่การจดบันทึก Record ด้านการเงิน จะช่วยในเรื่องการตรวจสอบและแก้ปัญหาได้ ซึ่งในสมัยนี้เราอาจจะไม่ต้องจดลงในสมุดบัญชีแล้วเพราะเรามี Excel ให้ใช้และสามารถคำนวณค่าต่างๆได้อย่างแม่นย่ำและรวดเร็ว

 

การจดบันทึกรายจ่าย เราควรจะแยกรายจ่ายการทำธุรกิจและรายจ่ายในชีวิตประจำวันออกจากกันเพื่อไม่ให้เกิดความงงทีหลัง ทางทีดีควรแยก File ไปเลย การเป็นคนที่ละเอียดเช่นนี้จะช่วยในเรื่องการบริหารเงินได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะเราจะไม่พยายามที่จะทำให้รายจ่ายสูงกว่ารายรับอยู่แล้ว นอกจากนั้นเราควรทีจะใส่ Comment ไว้ด้วย เพื่อความละเอียด พอย้อนกลับมาดูจะได้จำได้ว่า อ้อ เราใช้เพราะแบบนี้



นอกจากนั้นการ Record สิ่งที่ต้องทำช่วยได้มากเลย ผมเคยเห็นผู้ใหญ่บางท่านใช้ ปฎิทินแบบใหญ่ที่เป็นกระดาษซึ่งมีช่องพอที่จะจดอะไรลงไป นำแขวนข้างโต๊ะทำงาน เมื่อเขาตื่นมาเขาจะมาดูว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง พอตอนเย็นก็มาเขียนที่ปฎิทินว่าต้องทำอะไรเพิ่มอะไรยังไงวันไหน ซึ่งนี้จะทำให้เราไม่ลืมทำสิ่งที่ต้องทำ พอทำเสร็จก็กากทิ้ง ผมเคยเห็นบางคนเขียนเต็มทั้งแผ่นเลย สงสัยงานจะยุ่งมาก บางคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจไม่ค่อยมีเวลาทำแบบนั้นก็จ้างเลขามาจด แล้วตั้งเป็นแผนการเดินทางกี่โมงๆไป


Topbeatbox # ชิวดิว่าาา

Day 13 My Inspiration by Topbeatbox

เมื่อคืนผมได้ไปดูที่ดินของพ่อมีทั้งหมด 11 ไร่ ที่พุทธมนฑณสายห้า ระหว่างที่นั่งรถของพ่อ พ่อเขาให้ช่วยคิดว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ที่ตรงนี้จะเอาไปทำอะไรดี จะขายหรือทำธุรกิจ ระหว่างทางพ่อก็ชี้นั้นชี้นี้ให้ดูว่าโรงงานนั้นผลิตอย่างโน้น ผลิตอย่างนี้ ซึ่งแถวนั้นโรงงานเยอะมากแต่พ่อผมกลับจำได้ทุกโรงงานว่าอยู่ไหนบ้างทำอะไรมีประวัติอย่างไร ผมก็ฉุกคิดว่าทำได้ไง ไปรู้ข้อมูลลึกจากไหน ผมก็ถามพ่อไปว่าพ่อไปเอาข้อมูลแบบนี้มาจากไหน พ่อตอบสิ่งที่ผมช็อคมากเพราะคนปกติเขาไม่ทำกันหรอก 555+ พ่อผมบอกว่า เดินเข้าไปโรงงานดื้อๆนี้แหละ แล้วไปคุยกะเขาเลย ถ้าใครไม่ให้ดูต้องมีลูกเล่นกันหน่อย วันนั้นพ่อผมพาผมไปดูโรงงานที่นึง เป็นโรงงานที่ทำเสร็จแล้วแต่เกิดความผิดพลาดทางสัญญา เลยเป็นได้แค่โกดังเก็บของ ปกติที่นี้ไม่ให้คนนอกเข้า จะเข้าได้ก็ต้องเป็นลูกค้าที่เช่าโกดังทั้งนั้น พ่อขอยามเข้าแต่ดูเหมือนจะเข้าไม่ได้ พ่อผมงัดไม้ตายออกมา พูดว่าผมจะจ้างคนที่เขาสร้างที่นี้มาสร้างโรงงานให้ผม แล้วเขาบอกให้ผมมาดูที่นี้เองเลย ยามก็งงๆก็ปล่อยเข้าไป คือจริงๆผมไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือป่าว แต่มันสอนผมอย่างนึงคือด้านได้อายอด 555 คือผมว่าสิ่งเจ๋งมากสำหรับคนรุ่นพ่อคือ ความกล้า ไม่กลัวหน้าแตก นี้แหละคนสู้ชีวิตมาก่อน


คุยไปคุยมา อยู่ๆมาเข้าเรื่องชีวิตที่พ่อหาเงินมา เขาพูดว่าตอนที่ผมเกิด พอผมเกิดออกมาเท่านั้นแหละ เขารวยทันทีเลย เขาพูดว่าตอนที่ผมเกิดเขาทำยอดขายได้วันละ 1 ล้านบาท เมื่อ 22 ปีที่แล้ว เน้นว่า 22ปี 22ปี ที่แล้วคนที่หาเงินไปแบบนี้เจ๋งขนาดไหน พอพ่อเล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ ผมอึงเลย ในใจผมคิดว่าทำยังไงถึงหาได้แบบนั้น โดยธรรมชาติแล้วด้วยการที่ผมเป็นลูกคนจีนแท้ๆ แถมเป็นผู้ชายคนแรกของครอบครัว บวกกับเกิดมาแล้วเหมือนนำโชค ทำให้พ่อรวย อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเข้าใจว่ามันไม่เกี่ยวกับผมหรอก แต่โดยธรรมชาติของคนจีนเข้าเชื่อในโชคลาภพอสมควร ผมเลยกลายเป็นคนโปรดและถูกคาดหวังมากเป็นพิเศษ เอาตรงๆ ผมก็กดดันมากนะ คนที่มีโดนคาดหวังมากที่สุดมักจะทุกข์ที่สุด เพราะต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง อาจจะเพราะแกโดนมาก่อน คนจีนสมัยเก่าไม่ค่อยห่วงภาพลักษณ์เท่าไร เพราะเขาเชื่อว่าศักดิ์ศรีแดกไม่ได้ เขาลุยอย่างเดียว ผมว่าคนจีนสมัยใหม่ห่วงศักดิศรีเกินไปจนเป็นภัยแก่ตัว เมื่อผมพูดถึงเรื่องพ่อละ ผมจะพูดเรื่องของอาฟ่อบ้าง เป็นย่าหนะครับ ย่าผมนี้แหละของจริงเขี๊ยวมากกกกกกกกก!! เก็บเงินเก่งกว่าพ่อผมสิบเท่า ตรุษจีนได้เงินหนึ่งร้อยบาท - - แต่ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินหรอกหาเอาเองดีกว่า 5555+ นอกจากนั้นย่าผมกว้างขว้างมาก เขาจึงประสบความสำเร็จ จะโหดกันไปไหน มีสิ่งหนึ่งที่ท้าทายผมมาก คือ ผมจะทำเหมือนรุ่นก่อนๆได้ไม๊ มันทำให้ผมเป็นทุกข์ ผมจะต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ ชีวิตการเทรดของผมก็เริ่มจากศุนย์เหมือนรุ่นก่อนๆที่ทำธุรกิจจากศูนย์ ผมไม่เคยขอเงินพ่อแม่หรือใครมาฟรีๆโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน ผมจ่ายดอกเบี๊ยให้ท่านทุกปี ดอกเบี๊ย 50% โหดชิหาย ผมคิดว่าพ่อแม่ผมคิดว่าจะไปกู้แบงค์ทำไม กู้ตัวพวกเขาเองดีกว่าเงินจะได้ไม่ไหลออกจากตระกลู  เมื่อเรากู้ัใครหรือบอกใครว่าจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ผมจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ร้อยทั้งร้อย คนจีนมักอยากให้ลูกหลานเลี้ยงตอนแก่ ถ้าเลี้ยงได้มันก็ถือว่าเป็นความภูมิใจของผม


วันก่อนเห็นเพื่อนเขียน Goal ในอีก 10 ปี  ซึ่งผมคิดว่าดีมากๆ ตอนนี้ผมพยายามตั้งโรงงานอยู่ซึ่งสำเร็จไปส่วนนึง แต่ยังเหลืออีกเยอะที่ต้องจัดการ การทำแผนจะทำให้เรามุ่งไปจุดที่ต้องการได้อย่างแม่นย่ำ

Topbeatbox # ชิวดิว่าาา

Day 13 แรงบันดาลใจ by nutty

แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำให้ตัวเองบรรลุจุดหมาย เป้าหมายที่วางไว้ แรงบันดาลใจสามารถหาได้จากหลายๆแหล่ง บางครั้งมันไม่อาจยั่งยืนด้วยซ้ำ แต่ละคนก็มีแหล่งแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน สำหรับตัวเราเองนั้นเคยมีหลายครั้งแล้วแหละ แต่มันก็ไม่ยั่งยืนซักที วันนี้กลับค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ คือ การทำให้ตัวเองอิจฉาคนอื่น ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ การอิจฉาผู้อื่นอาจหรือไม่อาจผิดศีล เพียงแต่ว่า ยิ่งเราอิจฉามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากจะมีเหมือนเค้า ถ้าเราอยากมีเหมือนเค้า เราก็ต้องขยันมากกว่านี้ เพืื่อที่จะให้มีเหมือนเค้า สำหรับผู้หญิง อยากสวย อยากมีชาแนล อยากศัลย์ อยากไฮโซ เราก็ต้องหาเงินเพื่อที่จะนำมาใช้ ยิ่งอิจฉายิ่งผลักดันตัวเอง วันไหนที่เรายืนบนจุดสุดยอดแห่งความสำเร็จ วันนั้นคงจะเป็นวันที่ฟินมาก วันนี้ลองนั่งคุยกับเพื่อนๆมา คนนึงก็มีแผนสำหรับชีวิตที่เหลือเรียบร้อย เพราะเขารับช่วงต่อจากครอบครัวโดยไม่อาจปฏิเสธได้ อีกคนก็หารายได้พิเศษไปพลางๆ โดยการขายของออนไลน์ ซึ่งมันน่าอิจฉามากนะ เพราะเค้าทั้งเก่งและมีความพยายาม ถึงแม้มันจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่เค้าก็ได้เริ่มต้นออกมาแล้ว ซึ่งชีวิตในอนาคตเค้าก็ได้วางแผนการที่ใหญ่กว่านี้ นั่นยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเค้าน่าอิจฉา เราโตกันแล้ว ถึงเวลาทีควรจะเอาจริงสักทีเถอะนะ มันทำให้รู้สึกเลยว่าใครยังอยู่กับที่เป็นคนโง่เลยอ่ะ (it's me!) วันนี้กลับมาจึงรีบมาสานต่อโปรเจคที่วางแผนไว้ ซึ่งปรากฏว่าเราก็ค้นพบวิธีการใหม่อีกเช่นกัน มันอาจเป็นวิธีการที่ง่าย แต่เหมือนเส้นผมบังภูเขา บางทีสิ่งที่สำเร็จไม่จำเป็นต้องยาก แค่ทำถูกวิธีก็พอ ซึ่งวิธีใหม่ที่ค่อนข้างง่ายนี้ทำให้การดำเนินงานสำเร็จขึ้นมาอีกขั้น เย่!! มีกำลังใจขึ้นมาอีกขั้น เพราะปกติไม่ค่อยเห็นผลสำเร็จมาก่อน 


อย่าหวังว่าเราจะสำเร็จเหมือนคนอื่นโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แต่ให้หวังกับความสำเร็จที่เป็นเวอร์ชันของเราเอง ลงมือทำ แล้วใช้ชีวิตให้คุ้มกับความสำเร็จนั้น ชีวิตมีชีวิตเดียว ใช้ซะ!

ปล.บอกตงงงงงงง ดีใจจังงงงงงงงเลยยยยยยย



Day 12 จดหมายถึงตัวผมเองใน 10 ปีข้างหน้า by Kanthorn


ผมอยากที่จะเขียนจดหมายถึงตัวผมในอีก 10 ปี ข้างหน้าครับ...คำถามคือทำไปเพื่ออะไร? ....ที่ทำไปก็เพื่อเป็นแรงกระตุ้น และให้ตัวผมนั้นยังคงทำตามเป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นการ Prove ตัวผมเองว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า !

28/4/2014

 Dear Mr. Kanthorn

ถึงตัวผมเองในอีก 10 ปีข้างหน้า...ตอนนี้ผมอายุ 21 ปี 8 เดือน ผมเกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2535
10 ปีหลังจากนี้เมื่อผมย้อมกลับมาอ่านบทความบทนี้ผมคงจะอายุ 31 ปี 8 เดือน.
สิ่งที่ผมต้องการจะเป็นและมีในระยะเวลา 10 ข้างหน้าคือ....

1.มีเงินสดในมือให้ใช้จ่ายขั้นต่ำ 100 ล้านบาท
2.บริหารเงินขั้นต่ำ 1,000 ล้านบาท
3.เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รพ.กรุงเทพ และ รพ. ที่มีชื่อเสียง
4.ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านขายยา หรือสิ้นค้าที่เกี่ยวกับยาได้ประสบความสำเร็จ
5.ร่วมกับเพื่อนๆและนายทุนเปิด Hedge Fund ได้สำเร็จ
6.ประสบความสำเร็จในการเทรด
7.แต่งงานมีครอบครัว
8.ไม่ต้องทำงานหนักแล้วปล่อยให้ระบบของบริษัทมันทำงานเอง
9.เที่ยวรอบโลก หรืออยากไปไหนก็ได้ไปตามใจอยาก
10.ดูแลคนที่เรารักและคนที่รักเราให้สบาย ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้
11.มีรายรับมี Cash flow ขั้นต่ำ 2 ล้านบาท/เดือน
12.สามรถทำมูลนิธิช่วยเหลือหมาแมวได้ครบวงจร ตามที่ได้วางแผนเอาไว้
13.เป็นคนที่รวยที่สุดในตระกลู

ใน 10 ปีข้างหน้าผมมีเป้าหมายแค่ 13 ข้อเท่านั้นครับ....แล้วมารอดูกันว่าผมจะทำได้อย่างที่พูดมั้ย...นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมปากดีพูดไปวันๆหรือขี้โม้นะครับ บางอย่างผมได้เริ่มต้นทำไปแล้ว.

" มันไม่สำคัญว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นมันจะยิ่งใหญ่เพียงใด...แค่ลงมือทำก็มีโอกาสเป็นไปได้หมด "

----บางคนอาจจะหาว่าผม Over ขี้โม้ Bullshit อะไรก็ว่าไป...แต่เมื่อไรก็ตาม 10 ปี ผ่านไปผมเกิดทำได้จริงๆในตอนนั้นคุณที่มองผมแบบนั้นคุณมันก็เป็นแค่ไอ้กระจอก...แล้วผมจะทำให้ดูผมเชื่อว่าผมทำได้ และผมก็เริ่มต้นที่จะลงมือทำไปแล้ว เหลือแค่มารอดูผลกันในอีก 10 ปีข้างหน้า. ----

See you in the next 10 years. 

From Mr. Kanthorn

Day 12 Your Style, Upgrade by Topbeatbox

เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยอ่านเจอบทความใน CNBC เข้าพูดเกี่ยวกับ True Alpha และการคำนวณ ผมก็ได้โพสข้อความที่ผมอ่านเจอลงในหน้า FB เป็นการเตือนความจำ อยู่ๆก็มีพี่คนนึงถามมาว่า True Alpha สำหรับคุณคืออะไร มันทำให้ผมได้ฉุกคิดเหมือนกันว่า นั้นซิแล้วสไตลของผมมันคืออะไร ที่แล้วมาผมก๊อป True Alpha ของคนอื่นมาลอง ซึ่งก็ได้ผลดีเลยทีเดียว ซึ่งมันก้เหมาะกับตัวผมมากด้วย ซึ่งตอนหลังผมมานั้นคิดดูว่า มันน่าจะมีขั้นที่อัพเกรดมากกว่านี้หรือป่าว มันเป็นไปได้ไหมที่จะอัพเกรดทั้งๆที่แนวคิด ค่อนข้างโอเคมากสำหรับผมอยู่แล้ว ผมจึงได้นั่งคิดอยู่พักนึง ซึ่งผมก็ยังคิดไม่ออก แต่ผมเคยเจอเหตุการณ์มันสอนผมว่า อะไรที่มันดี ก็มีข้อเสียอยู่ในตัวของมันด้วยเช่นกัน ผมเคยคิดระบบและวิธีเทรดของผมที่เข้ากับผมได้มากๆ ตอนนั้นคิดเลยด้วยวิธีนี้ไม่มีทางที่จะล้มแน่นอนเพราะผมได้ลองมาหลายรอบแล้ว จนกระทั้งวันนึงตลาดได้โชว์ความไม่สมดุลของพอรต์ของตัวผม ทั้งๆที่ผมออกแบบมาแล้วอย่างดี แต่ไม่ถึงกับเสียหายมาก เพราะผมรู้สึกถึงอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ วันนั้นผมนั่งคิดทั้งวันว่าจะทำยังไงดีนะ วันนั้นตอนก่อนนอนผมนอนคิด กำลังจะหลับพอดี ดันมีความคิดแล่นเข้ามาในหัว ผมดีดตัวขึ้นมาแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วลงมือทันที ประเด็นที่ผมเล่าก็คือ อย่าคิดว่าระบบตัวเองสมบูรณ์ เพราะไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบจริงๆในโลกนี้ ทุกอย่างล้วนรอให้อัพเกรดอยู่สม่ำเสมอ ถึงแม้จะคิดว่าสมบูรณ์ แต่อาจเพราะเรายังไม่เคยเห็นข้อด้อยของมัน ตัวอย่างเช่นโทรศัพท์ไอโฟน ทุกอย่างทำออกมาอย่างดี เล่นลื่น ทำอะไรได้รวดเร็วมาก แต่พอใช้ไปนานๆก็เกิดปัญหาเล่นๆอยู่แล้วเด้งออกอะไรประมาณนี้ ซึ่งโทรศัพท์จะโดนอัพเกรดทุกๆปี เพื่อลบจุดอ่อนออกไปเรื่อยๆ กลับมาที่เรื่อง True Alpha ซึ่งการที่จะหาสไตลของผมนั้น ผมอาจจะต้องเจออะไรให้มากกว่านี้ก่อน แล้วอัพเกรดไปเป็นเวอร์ชั่นของผมเอง ไปช้าก็เร็วเวลาจะบอกคำตอบ



วิธีคิดเพื่อแก้ปัญหา
1. ปัญหาเกิดจากอะไร
2. ทำยังไงถึงแก้ปัญหาได้



Topbeatbox # ชิวดิว่าาา


วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 12 เหตุผลและเวลา By Boom

สวัดดีครัช...เพื่อนๆร่วมโลก วันนี้ผมมีคำถามว่า "เราเกิดมาทำไม" ผมอยากให้ทุกคนตอบลงในช่องใส่ความคิดเห็นด้วยนะ สำหรับผมแล้วผมมีคำตอบครับและผมเชื่อว่าทุกคนควรหาคำตอบของตัวเองให้ได้เหมือนกัน เพราะผมคิดว่าทุกคนเกิดมามีเหตุผลและเป้าหมายบางอย่างของแต่ละคน ถ้าคุณคิดออกผมเชื่อว่ามันส่งผลให้คุณมีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตของคุณ ตอนที่คุณท้อลองกลับมาถามตัวเองทุกครั้งว่า "เราเกิดมาทำไม"

ตั้งแต่ผมรู้จักคุณกันต์ เค้าให้แง่คิดหลายด้านให้แก่ผม เค้าบอกผมว่า
โลกนี้มันแฟร์นะ คนเราเลือกเกิดไม่ได้และมี 24 ช.ม.เท่ากันครับ ทำไมถึงมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยตั้งแต่ยังหนุ่ม และมีคนที่แก่แล้วและยังสิ้นหวังในชีวิต หลายคนบอกว่า "ก็พ่อแม่มันรวย" คนที่คิดแบบนั้นก็จนต่อไปเถอะ เพราะในความจริงแล้วบางที ยุคของปู่เค้าอาจจะไม่ได้รวยมาก่อนก็ได้ แต่พ่อเค้าต่างหากที่เป็นคนสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยหนึ่งสมองสองมือ ที่คนเรามีเท่ากัน


คนเราสามารถเรียนรู้และทำอะไรได้เยอะมากใน1นาที อยู่ที่ว่าคนเรานั้นมองเห็นค่าของเวลานั้นๆมั้ย ฉนั้นผมเห็นว่าการแบ่งเวลานั้นคือสิ่งสำคัญ เราควรทำอะไรที่เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละวินาทีชีวิตของเรา ผมเคยมีประสบการณ์สมัยสอบเข้า วิทยาลัยดนตรี ผมเรียนกลองกับรุ่นพี่ชื่อ "พี่วิ่ว" ตอนนี้เค้าได้เป็นทหารตามความฝันของเค้าแล้ว พี่วิ่วบอกผมว่า "บูมเชื่อมั้ย พี่อยากให้บูมแบ่งเวลาแค่วันละ 3 ช.ม.ให้กับสิ่งที่จะต้องสอบ ถ้าบูมทำได้ พี่มั่นใจว่าบูมจะเข้ามหาลัยได้ ขอแค่มีความตั้งใจและมีระเบียบวินัย" หลังจากนั้นเดือนสองเดือนถ้าจำไม่ผิด ผมก็ติด 2 มหาลัย ศิลปากร กับ รังสิต แต่ตอนนี้ผมเลือกที่จะมีเรียน BUIC 555 ผมจะบอกว่า แค่เรามีวินัยต่อตนเอง จัดสรรเวลาของตัวเองดีๆ มันจำทำให้ชีวิตเราดีขึ้น

นอกจากนั้นคนเราทุกคนจะมีมารอยู่ในตัวที่ชื่อว่า ความขี้เกียจและข้ออ้าง ที่คอยขัดขวางเรา เพราะฉนั้นเราต้องก้าวข้ามสิ่งพวกนั้นไปให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตัวอย่างข้ออ้างของผมเลยในวันที่ไม่ได้เขียนบล๊อคคือ "เพลียมากง่วงด้วยดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเขียนดิวะ Blog" นี่ไงข้ออ้าง ถ้าเราข้ามผ่านมันไปได้ เราก็จะทำสิ่งที่เราต้องการได้สำเร็จไปอีกอย่างนึงละ เพราะฉนั้นเลิกขี้เกียจ เลิกหาข้ออ้าง เลิกพูดคำว่า เดี๋ยว แล้วจะถึงสิ่งที่ตั้งเป้าไว้เร็วขึ้น

Day 12 : Debt, growth or destruction? by Nutty

           วันนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังให้เก็บไปคิดกัน ปกติทุกคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "การไม่มีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ" เป็นประโยคที่ถูกสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ เราก็เชื่อนะ เพียงแต่ว่ายังไม่เคยเผชิญกับตัวเองและครอบครัวเลยยังไม่ได้หยั่งถึงขนาดนั้น แต่แค่จินตนาการถึงก็สยองไม่ใช่เล่น แต่สิ่งที่เราได้พบเจอคือเรื่องของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีพระคุณกับเราที่ต้องตกระกำลำบากเพราะ"หนี้"

           วันก่อนได้กลับไปเยี่ยมคุณครูที่รร เก่ามา ซึ่งการกลับไปเยี่ยมครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อนๆต่างก็พูดคุยเรื่องราวของคุณครูท่านนี้กันอย่างกว้างขวาง ข่าวที่พึ่งได้รับแพร่กระจายกันอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันด้วยพลังของปากต่อปาก ข้อมูลที่ได้รับจึงผิดเพี้ยนไปไม่มากก็น้อย ข้อมูลที่เราได้รับมา คือหอที่เราเคยอยู่กับเพื่อนๆมา3ปี สถานที่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ของเพื่อนๆรุ่นเรานั้นกำลังจะถูกปิดตัวลง เนื่องจากเจ้าของหอติดหนี้นอกระบบ ซึ่งมีวันหนึ่งเจ้าหนี้ถึงกับทำโบรชัวร์ประจานและโปรยไปรอบๆรั้วโรงเรียน อีกทั้งลูกของเจ้าหนี้ยังเอารูปขึ้นig เพื่อประจานไปอีกทางหนึ่งด้วย อย่างที่รู้กันดีถึงความร้ายกาจของหนี้นอกระบบหากไม่มีเงินมาคืน ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเจ้าหนี้จะลงมือทำอะไรบ้าง ทางโรงเรียนจึงสั่งปิดหอซะ เพื่อความปลอดภัยของเด็ก แต่จริงๆไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อื่นอะไรแอบแฝงอีก ซึ่งหากปิดหอไปเท่ากับตัดรายได้ของเขาทิ้ง เพราะคุณครูเจ้าของหอนั้นไม่ได้ทำกิจการอะไรอื่นอีก มีแค่รายได้หลักๆจากกาุรทำหอและเงินเดือนครูเท่านั้น ซึ่งคนที่สั่งปิดหอพึ่งย้ายมาใหม่ จึงอยากที่จะปิดหอแล้วย้ายเด็กเข้าหอในโรงเรียนแทน คุณครูเจ้าของหอจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูที่ท่านเป็นมามากกว่า25ปี ตอนนี้เท่ากับว่ารายได้เหลือศูนย์ ต้องขายของที่มีอยู่เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินเอามาใช้หนี้และประทังชีวิตแทน ซึ่งคุณครูยังมีภาระให้เลี้ยงดูทั้งลูก2คน และพ่อแม่สามีที่ป่วย ทั้งครูและสามีต่างก็เครียดกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ห่วงทั้งลูกและพ่อแม่ ซึ่งตัวเลขที่เป็นหนี้อยู่นั้นไม่ใช่น้อยๆ ตัวเลขสูงถึงประมาณ15-17ล้านเนี้ยแหละ ไม่แน่ใจ แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับคนกินเงินเดือนธรรมดา หลายๆคนก็อยากจะทราบว่าทำไมหนี้ถึงสูงขนาดนั้น เอาเงินไปทำอะไรหมด ซึ่งความจริงก็ไม่มีใครรู้ได้นอกจากคนในครอบครัวของคุณครูเอง ถ้าหากกู้เงินมาเพื่อ consumption สำหรับช่วงปัจจุบัน แน่นอนล่ะ ที่คนรับกรรมใช้หนี้ต่อก็คือลูกๆ เพราะเงินที่กู้มาใช้ในปัจจุบันเดี๋ยวก็หมด ซึ่งไม่ได้ทำให้ purchasing power ในอนาคตสูงขึ้นเลย กลับยิ่งทำให้ต่ำลงอีกต่างหาก ทั้งต้องจ่ายเงินต้นแล้วไหนจะดอกเบี้ยอีก แต่ถ้าหากกู้เงินมาเพื่อการลงทุนทำธุรกิจ หากผลลัพธ์ออกมาดีก็จะยิ่งส่งเสริมให้ purchasing power ในอนาคตสูงขึ้นมาก เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรแค่นั้น ในตอนนี้พวกเราทำได้แค่ให้กำลังใจคุณครูและครอบครัว เราได้ยินมาว่าคุณครูถึงกับนอนไม่หลับและนอนร้องไห้ทุกคืน ยิ่งไปเห็นหน้าของคุณครูและสามี ก็รู้สึกได้ถึงความเครียดอย่างหนักจากข้างใน ถึงจะพยายามยิ้มแต่ในใจเค้าเหมือนร้องไห้ตลอดเวลา เห็นหน้าครูแล้วเหมือนเห็นดอกไม้ที่เคยบานอยู่ กลับกลายเป็นเหี่ยวเฉา( มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ หน้านี่ดำเมี่ยม บ่งบอกได้ถึงความเครียดเลเวล99) ไม่เจอกับตัว คงไม่รู้สึก วันที่ทางออกไม่มีก็คงต้องออกทางเข้า ท่านบอกว่าตอนนี้ก็คิดถึงลูกอย่างเดียว พยายามเข้มแข็งเพื่อลูก ทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือขายหอ ขายของเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อนำไปใช้หนี้และเริ่มจากศูนย์ใหม่หมดเลย ก็ได้แต่ปลอบว่า ตอนนี้ชีวิตอยู่จุดที่ต่ำสุด ต่อไปมันคงมีแต่ขึ้นแล้วหล่ะ นี่ล่ะนะ พิษสงของหนี้

                
             ยังไงก็ตาม หนี้ก็ยังมีจุดที่ดีของมันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน หนี้สามารถทำลายชีวิตก็ได้ สามารถทำให้ชีวิตเราเติบโต ร่ำรวยขึ้นก็ได้ คนที่ใช้หนี้เป็น หนี้ก็จะกลายเป็น good debt ที่ทำให้ธุรกิจก้าวหน้ายิ่งขึ้น อย่างเช่น คุณตัน ที่ตอนแรกเขากู้เงินจากกรุงศรีมาลงทุนจนเติบใหญ่เท่านี้ เพราะเขามีการวางแผนการเงินและธุรกิจที่ดี เขามองเห็นโอกาสและศักยภาพ เพราะฉะนั้นหนี้จึงเป็นได้ทั้งเครื่องมือที่สร้างสรรค์แต่ก็มีพลังทำลายล้างอยู่ภายในตัวมันเองได้เช่นกัน  



ปล. "พรุ่งนี้เราจะเริ่มทำงานแล้ว!" ท้อปบอกว่าให้พูดเพื่อเป็นกำลังใจและแรงผลักดันให้ตัวเอง



วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 11 True Power by Topbeatbox

ผมเคยอ่านผ่านๆตาแต่จำไม่ได้ว่าใครเคยพูดไว้ เขาพูดเกี่ยวกับพลังในมนุษย์ ตามธรรมชาติภายใน 24 ชม. มนุษย์จำเป็นต้องนอน มีการตื่น มีการกินข้าว จนกระทั้งหลับพักผ่อน เราเชื่อว่าถ้าเราทำงานหนักเราจะต้องพักผ่อนมากๆ เราเชื่อว่าพลังการใช้ชีวิตแต่ละวันมีลิมิต เราคิดไปว่ามนุษย์เหมือนโทรศัพท์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ไม่ใช่โทรศัพท์ โทรศัพท์จะทำงานได้ต้องมีไฟฟ้า เช่นเดียวกับคน คนจะทำงานได้ต้องมีอาหาร แคโลริเพียงพอ แต่มนุษย์พิเศษที่มนุษย์มีพลังแฝงพิเศษ นั้นคือพลังใจ พลังใจเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังที่ให้จากอาหารเสียอีก มนุษย์เราสามารถทำอะไรได้ติดต่อกันนานมากๆโดยไม่ต้องพัก หรือคนสู้ชีวิต ถ้าให้เปรียบก็เหมือนทาสในยุคที่อียิปรุ่งเรือง มีการใช้แรงงานทาสกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะแก่จะเด็ก ทุกคนทำงานหนัก แบกหินทุกวันโดนฟาดทุกวัน แต่บางคนตายเร็ว บางคนตายช้า บางคนอยู่รอดจนแก่ เหตุผลอะไรที่ทำให้คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากเย็นเหมือนกัน แต่ตายไม่เท่ากัน นั้นก็คือพลังใจ พลังใจนั้นมันไร้ขีดจำกัด ไร้ขอบเขต แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่ต้องการนอนหลับพักผ่อน เพราะยังไงก็ตามเรายังมีขีดจำกัดทางด้านร่างกาย ถ้าแม้ด้านจิตใจจะไร้ขีดจำกัด จริงอยู่ที่กายใจมักจะเชื่อมถึงกัน แต่คนที่มีพลังใจสูงส่งอย่างแรงกล้าเท่านั้น จึงไม่ถูกขีดจำกัดทางร่างกายไปกระทบจิตใจ เช่น คนแก่ที่มักจะมากับพวกโรคภัย เดี๋ยวก็เป็นโน้นเป็นนี้ แต่พลังใจบางคนแกร่งซะจนเราแทบดูไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนแก่ บางทีคนที่ดึงพลังใจมาใช้งานได้เรื่อยๆ อาจจะไปเสริมพลังกายด้วยซ้ำไปครับ





คนเราก็แปลกถ้าพลังใจมา เราสามารถทำอะไรที่ดูเหมือนทำไม่ได้ตั้งหลายอย่างเช่น เวลาไฟไหม้บ้าน บางคนอึดสู้ยกตู้เสื้อผ้าออกมาได้ตัวคนเดียว บางคนยกทีวีเครื่องใหญ่ๆสมัยก่อนออกมาได้ บางคนแข่งวิ่งระยะไกลโดยแรงไม่ตกจนถึงเส้นชัยในขณะที่คนอื่นแรงตกหมดแล้ว สิ่งที่มอบพลังเหนือธรรมชาติให้คนพวกนั้นคือ พลังใจ



Topbeatbox # ชิวดิว่าาา

Day 11 Traders by Kanthorn


วันนี้ผมจะมาพูดถึงวิถีเทรดเดอร์ของตัวผมเอง...เส้นทางของผมอาจจะไม่เหมือนคนอื่นก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ผมมองเห็น หรือเรียนรู้มามันมาจากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาตอนเริ่มเดินทางในเส้นทางของเทรดเดอร์ครับ.

ต้องบอกก่อนว่าอาชีพนี้มันไม่ง่าย ! และก็ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้....มันเป็นอาชีพที่ต้องแบกรับความเครียดสูง เจอกับความกดดัน และความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา...บางคนก็มองว่ามันไม่มั่นคง
พวกคนที่เข้ามาแล้วคิดง่ายๆว่าจะทำเงินได้นั้นส่วนใหญ่ก็มาเสียเงินทั้งนั้น ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความคิดของคนพวกนั้นมันยังกระจอกเกินไป คิดเอาแต่ได้ไง...ไม่เคยที่จะอดทน ไม่เคยที่จะฝึกทั้งการเทรดและจิตใจ พอเทรดไปแปปๆเจออุปสรรค์ก็หนีปัญหา ไม่คิดที่จะกลับมาแก้กับสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้...ต้องบอกเลยว่าในสายอาชีพนี้จิตใจนั้นสำคัญมาก พวกที่จิตใจอ่อนแอจะอยู่ไม่รอด เจอความเครียดนิดหน่อยก็ถอดใจ เจอความกดดันนิดหน่อยก็ยอมแพ้ แล้วก็พยายามหาเหตุผลต่างๆนาๆมาโทษไปเรื่อย แต่ไม่เคยโทษตัวเอง....คนจำพวกนี้ไม่มีทางที่จะอยู่รอดในตลาดก็ เพราะคุณมันมีจิตใจที่อ่อนแอเกินไป ! ...ผมจะขอเรียกคนจำพวกนี้ว่า " ไอ้พวกขี้แพ้ " ( ถ้าคุณอ่านแล้วมีอันไหนที่ตรงกับคุณก็ขอให้รู้ว่าคุณมันคือไอ้คนขี้แพ้ ไอ้กระจอก! )

เสน่ห์ของอาชีพเทรดเดอร์ผมมองว่ามันคือการมองโลกของเราอย่างเป็นกลางไม่ Bias มากจนเกินไป...เทรดเดอร์นั้นก็เปรียบเสมือนทหารในสมรภูมิรบ แต่เราเป็นทหารในตลาดการเงิน และจะ Bet ในสถานการณ์ที่เป็นไปได้เท่านั้น....วิถีเทรดเดอร์ของผมนั้นผมจะพยายามมองทุกอย่างให้เป็นกลางมากทีสุด มองชีวิตเป็น Cycle ที่มีทั้งช่วงดีและแย่(แต่เราสามารถเอาชนะช่วงแย่ๆได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง)....ผมจะไม่เอาตัวผมไปอยู่กับฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จะไม่มีใครมา Psycho ผมได้...ผมจะไม่เชื่อในสิ่งที่คนพูดกันจนกว่าผมจะลงมือทำ และเห็นด้วยตาของตัวผมเอง....ผมต้องฝึกฝนทางด้านจิตใจเยอะมาก ฝึกให้ทนต่อความกดดัน ทนต่อความเครียด และชินกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ...จนตอนนี้มันเรียกได้ว่ามันชินครับ ชินต่อทุกสถานการณ์แย่ๆ พอเราเริ่มที่จะชินแล้วคราวนี้มันก็จะเกิดความสนุกขึ้นมา สนุกที่จะแก้สิ่งที่ผิดให้เป็นถูก สนุกที่ได้ Make money สนุกที่ค่อยๆเดินตามความฝันของเราเองได้ด้วยความสามารถของเรา และที่สำคัญผมมองว่าอาชีพนี้มันต้องใช้ความสามารถของเราจริงๆ ถ้าคุณไม่เก่งจริงสุดท้ายคุณก็ไม่รอดอยู่ดีไม่ว่าจะมีเงินเยอะแค่ไหนก็ตาม.


สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อในวิถีเทรดเดอร์ของผมนั้นก็คือ การที่คุณคิดจะเข้ามาในตลาดแล้วใช้คำว่า Trader คุณก็ควรตั้งใจที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนให้หนักอย่างแท้จริง โฟกัสให้ถูกจุด เพราะคนบางคนพยายามแทบตาย แต่โฟกัสผิดจุดก็ไม่รอด และสิ่งที่ควรจำไว้เลยก็คือ คนที่มีจิตใจที่อ่อนแอเป็นเทรดเดอร์ไม่ได้หรอกครับ...เพราะเดี๋ยวทำๆไปก็ยอมแพ้ ทนต่อความเครียดไม่ไหว ทำแล้วก็ไม่มีความสุข ผมแนะนำให้เลิกทำไปหาอาชีพอื่น และก็ไม่แน่ว่าจะทำอาชีพอื่นได้ เพราะสิ่งที่คุณมีมันคือคุณสมบัติของไอ้คนขี้แพ้....ถ้าจะไปเป็นเจ้าของกิจการนี่ก็ลืมไปได้เลย คนที่ไม่มีความอดทน หนีปัญหา ไม่มีความตั้งใจทำอะไรให้เต็ม 100 เอาแต่พูดดีแต่ปากไปวันๆ ก็ทำอะไรไม่สำเร็จหรอกครับ...อาจจะไปเป็นลูกจ้างเงินเดือนถูกๆได้ เพราะคุณไม่มี vision อะไรเลย เพราะคุณมันอ่อนแอ

---ผมมองว่าไม่ว่าจะอาชีพเทรดเดอร์ หรือธุรกิจอะไรก็ตามมันมีพื้นฐานที่เหมือนกันคือ "คนขี้แพ้ยังไงก็ไม่รอด" ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรให้สำเร็จคุณต้องหันกลับมามองว่าตัวคุณนั้นยังผิดพลาดเรื่องอะไร ยังอ่อนแออยู่หรือเปล่า...คำว่าอ่อนแอกับอ่อนโยนมันไม่เหมือนกันนะครับ...อ่อนแอในที่นี้ผมหมายถึงจิตใจที่อ่อนแอ ---

 "ถ้าไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้แล้วละก็ จงพยายามให้มากกว่านี้ โฟกัสให้ถูกจุด ที่สำคัญอย่าดีแต่ปากเอาแต่พูดไปวันๆ ลงมือทำซะ แค่ลงมือทำก็ยังไม่พอ ยังต้องมีความตั้งใจอย่างแท้จริง และต้องมีแผนการที่ดีด้วย" 

ผมมองว่าอาชีพนี้การที่เราเจอกับความเครียดมันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณทนไม่ได้แปลว่าจิตใจคุณมันอ่อนแอจนเกินไป....แต่ถ้าเราโฟกัสถูกจุดความเครียดนั้นมันจะน้อยลง บางที่ไม่เครียดเลย บางคนก็ชิน(ผมก็ชินกับความเครียด เพราะเจอเรื่องต่างๆมาเยอะพอก็ปัญหาก็ค่อยๆแก้กันไป)...ไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจมากพอ.


"ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ 
แต่คนที่มีความพยายามมากพอสามารถเป็นเทรดเดอร์ได้"



วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

Day 10 Observation and Question by Topbeatbox

ในชีวิตประจำวันของเราล้วนแต่มีสิ่งมากมายเขามาหาเรา แม้กระทั้งวันนั้นคุณไม่ได้พบปะผู้คน หรือแตะต้องเทคโนโลยีใดๆ คุณจะได้รับข้อมูลใหม่ๆ โดยไม่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเล็กหรือใหญ่ เช่นคุณตื่นนอนตอนเช้า เดินออกมานอกบ้านคุณจะเกิดการรับรู้หลายสิ่งทันที ไม่ว่าจะเป็นอากาศรอบตัว เสียงนกที่ได้ยิน เสียงรถและผู้คน บางทีคุณอาจจะรับรู้ตั้งแต่คุณนอนแล้วด้วยซ้ำ รับรู้ในฝัน มันอยู่ที่ว่าตัวของเราเองจะสังเกตุสิ่งเล็กน้อยๆเหล่านั้นหรือไม่ เราอาจจะเห็นหรือได้ยินจนชินเราจึงปล่อยมันผ่านไป ทั้งๆที่สิ่งเล็กๆน้อยอาจเป็นส่วนสำคัญของชีวิตหรืออาจจะเป็นโอกาสที่สำคัญ โอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โอกาสที่จะเปิดกะลา โอกาสที่จะสัมผัสอีกมุมมอง โอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง คนเราต้องหัดเรียนรู้ทุกๆวัน อย่ามองสิ่งเล็กเป็นเรื่องเล็ก ให้หาสิ่งเล็กๆมาเป็นประโยชน์ ถ้าวันนี้เพื่อนคุณพูดว่า "รถติดวะ" คุณคงไม่คิดอะไร ก็มันเป็นเรื่องปกติของถนนเส้นนี้นี้หว่านี้น่า แต่บางคนคิดอีกด้าน เช่นเราจะทำ Electronic Map ที่สามารถดูรถแถวไหนติดบางเพื่อจะได้เลี่ยงรถติด ทั้งๆที่มันเป็นแค่ไอเดียเล็กๆที่คนมองข้าม แต่มันช่างยิ่งใหญ่ถ้าคุณแก้ปัญหาเล็กๆให้กับคนเหล่านั้น อีกตัวอย่างคือ วันนี้คุณเดินไปเจอรูปซามูไร คนที่ไม่คิดอะไรคงคิดว่า เอ่อ ซามูไรเท่ดี บางคนสนใจในวิถีแห่งซามูไรและไปค้นคว้าจนได้ความรู้กลับมาเพื่อปรับใช้ข้อดีกับตัวเอง



เมื่อยี่สิบปีก่อน การสอนนักเรียนจำเป็นต้องใช้ช็อคเขียนลงบนกระดานดำ ถ้าเราแค่หัดสังเกตุว่าทำไมถึงต้องใช้ช็อคแล้วทำไมต้องกระดานดำ คุณอาจจะทำกำไรจาก Whiteboard มากมายในช่วงนั้น ในโลกนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อโอกาสมักจะมากับสิ่งเล็กๆน้อยเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะพยายามมองเห็นมันหรือป่าว ถ้าวันนี้ได้อ่านบทความนี้จนจบแล้ววันรุ่งขึ้นยังไม่เรียนรู้อะไรจากสิ่งเล็กรอบตัว แปลว่าคุณกำลังหยุดนิ่ง ประเด็นตรงนี้คือการเป็นคนที่ช่างสังเกตุและตั้งคำถามที่ดี จะทำให้เกิดการพัฒนาหลายๆด้าน รวมไปถึงโอกาสด้วยซ้ำ หลายคนคิดว่า คนคิดค้นหลายๆอย่างไปเยอะแล้ว คงเหลือน้อยเต็มทนแล้วละโอกาส ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย โอกาสใหม่จะเกิดจากการที่โอกาสเก่าทำเสร็จแล้วเสมอ เช่น โอกาสเก่าคือการสร้างรถ โอกาสใหม่คือการสร้างน้ำมัน โอกาสเก่าคือการสร้างน้ำมัน โอกาสใหม่คือการสร้างแก็ซ หรือ โอกาสเก่าคือเครื่องเล่นเพลง โอกาสใหม่คือ MP3 โอกาสเก่าคือ MP3 โอกาสใหม่คือ โทรศัพท์เล่นเพลง เห็นไหมครับทุกครั้งที่โอกาสเก่าเกิดขึ้นโอกาสใหม่ เกิดขึ้นมาใหม่ทันที ของอย่างนี้อยู่ที่การสังเกตุ คิด ลอง ทำ แล้ว ทำไปเรื่อยจนสำเร็จ



Tobeatbox #ชิวดิว่าาา

Day 10 The Ronin Way of Miyamoto Musashi by Kanthorn


เมื่อวันก่อนผมได้อ่านบทความเกี่ยวกับซามูไรชื่อ มิยาโมโตะ มูซาชิ ....อ่านแล้วก็ทำให้นึกถึงการเทรดขึ้นมาโดยทันที เพราะการเทรดนั้นต้องประกอบไปด้วย "การฝึกฝนมาอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจ" เปรียบเหมือนเพลงดาบของมูซาชิที่เอาชนะสู้ต่อสู้เก่งๆมาได้มากมาย....ไหนจะวิชาดาบคู่ที่ต้องใช้ความสมดุลของสมองทั้งสองข้าง ทั้งซีกซ้ายและซีกขวา (Logic and intuition) ...ซึ่งในจุดนี้ก็ไม่ต่างจากการเทรด.

----ดาบของ มูซาชิ นั้นก็เปรียบเสมือนระบบเทรดของเรา....เพลงดาบนั้นก็เปรียบดังรูปแบบการเทรด....การฝึกฝนร่างกายและจิตใจนั้นก็เหมือน Mental + Intuitive ----

 *** การที่มูซาชิมีความเก่งกาจได้ขนาดนี้ ผมมองว่าเพราะมีความพยายามที่ดีไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค์ และหารูปแบบของตัวเองจนเจอทั้งเรื่องวิชาดาบรวมไปถึงเรื่องของจิตใจ ****


ลองอ่านกันดูครับหวังว่าจะเอาไปประยุกต์กับการเทรดได้ !


มูซาชิ ซามูไรดาบคู่ ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ มีชีวิตอยู่ในราว ค.ศ. 1584-1645 จากประวัติการต่อสู้กว่า 60 ครั้ง ไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียวนั่นไม่ใช่โชคช่วย แต่เป็นเพราะฝึกฝนมาอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะการฝึกจิตเพื่อเอาชนะศัตรูภายในตนเอง...จนกระทั่ง มีความสามารถที่จะรบชนะเป็นผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การต่อสู้ชื่อ คัมภีร์ห้าห่วง (The Book of Five Rings) ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นผลงานอัจฉริยะ มูซาชิ มิได้มีแค่ชัยชนะในสมรภูมิเท่านั้น หากเป็นทั้งการแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ-ความหมายแห่งชีวิต และความเป็นเลิศในเชิงดาบไปพร้อมๆกัน....เขาเป็นลูกของซามูไรบ้านนอกขาดแม่ และในวัยเด็กทำท่าว่าจะเป็นคนที่เอาดีไม่ได้ อย่างไรก็ตามลักษณะเด่นของมูซาชิคือเป็นคนบึกบึนไม่ยอมแพ้ใครซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของนักรบ...สำหรับการเป็นนักรบนั้นแตกต่างจากนักฆ่าโดยสิ้นเชิง นักรบย่อมเห็นคุณค่าของชีวิตไม่ว่าของตนเอง หรือของผู้อื่น ไม่โอ้อวดเสี่ยงภัยอย่างไร้สาระ พร้อมเสียสละชีวิตเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่เหมาะสมจริงๆ...มูซาชิเป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลของสมองทั้งสองข้าง ทั้งซีกซ้ายและซีกขวา ใช้ดาบได้อย่างคล่องแคล่วทั้งสองมือ ดาบคู่ของเขานั้นยังสั้นข้าง-ยาวข้าง ด้วย การชี้แนะของพระเซนรูปหนึ่งที่ชื่อ ทากุอัน มูซาชิได้เลิกนิสัยมุทะลุดุดันชอบเอาชนะแบบบ้าเลือด แล้วหันมาแสวงหาหนทางการเป็นนักสู้ที่แท้จริง การใช้กำลังกับภูมิปัญญามิใช่สิ่งแยกออกจากกันได้ มูซาชิอ่านทุกอย่างตั้งแต่ประวัติศาสตร์ปรัชญามาจนถึงตำราพิชัยสงคราม ขณะเดียวกันก็ได้ฝึกควบคุมตัวเองให้รู้จักสงบนิ่งเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันเลวร้าย

มูซาชิได้ค้นพบว่าหนทางแห่งนักรบนั้นแยกไม่ออกจากหนทางแห่งความเป็นคน...ความเป็นเลิศในเพลงดาบคือสิ่งเดียวกับความงาม ความสงัดสุข และความดี พูดอีกนัยหนึ่งคือ มูซาชิจะไม่สามารถบรรลุความเป็นเลิศในฝีมือได้ถ้าหากเขาไม่แสวงหาทางหลุดพ้นในระดับจิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน...
ท่ามกลางการฝึกฝีมือดาบ มูซาชิได้เรียนรู้การวาดภาพ การแกะสลัก การเขียนบทกวี ตลอดจนสิ่งประณีตละเอียดอ่อนอีกหลายๆอย่าง...ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกัน " มันคือศักยภาพของความเป็นคน "
จากเด็กหนุ่มที่บ้าเลือดไร้ทิศทาง มูซาชิค่อย ๆ กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ละเอียดอ่อนทั้งกับผู้อื่นและตัวเอง เขาเติบโตพ้นเรื่องของศักดิ์ศรีหน้าตาที่เป็นเพียงเปลือกนอก ตลอดจนลาภ ยศ สรรเสริญทั้งปวง

อันนี้ทำให้มูซาชิสามารถหลีกเลี่ยงสมรภูมิที่ไม่จำ เป็นได้โดยไม่แยแสกับเสียงติฉินนินทา ทว่ายามใดที่ต้องรบ เขาก็สามารถรบได้ด้วยความสงบนิ่งดุจภูผา ศัตรูคนแล้วคนเล่าร่วงล้มด้วยเพลงดาบไร้สำนักของเขา...กระทั่งชื่อมูซาชิกลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

แม้ในยามที่มีชื่อเสียงแล้วก็ตาม มิยาโมโตะ มูซาชิก็ยังใช้ชีวิตเหมือนนักพรตผู้ถือดาบ กินอยู่สมถะ นุ่งเจียมห่มเจียม ครองตัวเป็นนักดาบไร้สังกัดปราศจากฐานะตำแหน่งใด ๆ ในวงจรอำนาจซึ่งกำลังแก่งแย่งชิงดีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในฉากสุดท้ายของนิยาย มูซาชิต้องดวลดาบกับซาซากิ โคยิโร่ ซึ่งเป็นซามูไรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกคนหนึ่ง และมีฐานะเป็นทั้งเจ้าสำนักและอัศวินชั้นสูง ทั้งสองจะต้องประลองฝีมือกันโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันต่อหน้าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมานั่งดูเป็นสักขีพยาน....สถานที่นัดพบครั้งนั้นอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ห่างจากฝั่งประมาณ 2 ไมล์ขณะที่ผู้คนจากทั่วสารทิศได้หลั่งไหลกันมาดู เหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น มูซาชิกลับใช้เวลาก่อนดวลนั่งวาดรูป จากนั้นก็ขึ้นเรือลำเล็กๆ ไปสู่จุดนัดหมาย และใช้เวลาบนเรือถากพายหักด้ามหนึ่งเพื่อใช้เป็นอาวุธ  ปะทะกันได้ไม่ถึงอึดใจ เขาก็ใช้ดาบไม้นั้นสังหารคู่ต่อสู้ลงไป และในขณะที่ทุกคนยังไม่หายตื่นเต้นกับฉากดวลระหว่างนักดาบชั้นครู มูซาชิก็โดดกลับลงเรืออย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีแยแสกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปวง 



THE END.


ปล.ส่วนตัวนั้นผมมองว่าวิถีของซามูไรนั้นก็เหมือนกับวิถีเทรดเดอร์ของตัวผม....ในบทความต่อไปผมจะมาพูดถึงวิถีเทรดเดอร์ของตัวผมแล้วคุณจะรู้ว่ามันคล้ายกับวิถีซามูไรตรงไหน :)
 



Credit http://www.oknation.net/blog/jommand26/2010/03/28/entry-1#.U1hyqikSr8k.facebook
 

Day 9 Bitch! :My Thought, Is It Real? By Boom


หลังจากได้คุยกับพี่มายและพี่กัน เราถกกันเรื่องการเมืองของเรามันเป็นอย่างงี้เพราะอะไร  อาจเป็นเพราะคนเรามี Ego ในการรับรู้สิ่งต่างๆ ว่าสิ่งที่เราได้ยิน ได้เห็น ได้คิดมานั้นมันถูกต้องที่สุด แต่เราจะรู้ได้ไงว่าสิ่งที่เรา ได้ยิน ได้เห็น ได้คิดมานั้นมันถูกต้องจริงหรือเปล่า ในโลกของความเป็นจริงผมว่าเราไม่มีทางพิสูจน์หรือรู้ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่ลงมือทำสิ่งนั้นๆเอง คนที่ลงมือทำเท่านั้นคือผู้ที่รู้จริง อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า อย่าเชื่อสิ่งต่างๆที่ท่านสอน จงลองทำด้วยตัวเองc]h;จะรู้ เช่นเดียวกับชีวิตของคนเรา ความคิดหรือสิ่งที่เรารู้มา เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องมันคือสิ่งที่จริง เพราะฉนั้นอย่าได้มี Ego ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดสิ่งที่ตัวเองเชื่ออยู่ นั้นมันดีที่สุดจริงที่สุด ถ้าเรายังไม่ได้ลองจริงมั้ย?

Day 9 More than Reading is Thinking by Topbeatbox

เมื่อคืนผมได้อ่านบทความบทความนึงเขียนเกี่ยวกับการออมเงิน ที่ทำให้ได้เงินเก็บ 10 กว่าล้าน โดยเขาตั้งสมมุติฐานว่าเก็บเงินเดือนละ 20% เพื่อนำไปลงทุนสิ่งให้ผลตอบแทนแน่นอน12% เงินเดือนขึ้น 3 % ทุกปีเท่ากับเงินเฟ้อ ซึ่งวิธีการหาก็คือใช้สูตรหา FV หรือ Future Value ซึ่งผมลองคำนวณมาแล้วว่า ถ้าออมแบบข้างต้นครบสามสิบปีจะได้เงินจำนวน 10,484,892.40 Baht แต่ไม่ได้คำนวนเงินเฟ้อเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาหักลบกับเงินเฟ้อก็ทำให้ Purchasing Power เท่าเดิม ซึ่งการคำนวณที่ผมอ่านก็ถูกต้อง การเก็บเดือนละ 20 เปอร์เซ็น เป็นไปได้ แต่การให้ผลตอบแทน 12 เปอรเซ็นตลอดเป็นไปได้เหมือนกัน แต่ใครจะให้ดอกเบี๊ยถึง 12 เปอร์เซ็นละ หรืออาจจะมีหว่าา ผมจะได้รีบไปฝาก 555+ เงินเฟ้อจริงอยู่ที่ 3 เปอร์เซ็น แต่เงินเฟ้อจำพวกอาหาร เป็นเงินเฟ้อเยอะมาก เมื่อ 12 ปีที่แล้วผมกินก๋วยเตี๊ยวจานละ 10 บาท ทุกวันนี้ต่ำๆก็ 40 บาท ถ้าเราเอามาเทียบกับ 12 ปีที่แล้ว ก็ประมาณ 400% เงินเดือนที่ควรได้เพิ่มน่าจะมาจากการคำนวณจากเงินเฟ้อของ Basic need หรือเงินเฟ้อของ Cost of Living ถ้าเทียบกับเงินเฟ้อธรรมดา 3% ใน 12 ปีจะได้เงินเฟ้อ 42% ถ้านับจาก 12ปีก่อน ตรงนี้มันก็เหมือนกับดักเพราะเงินที่ได้เพิ่ม 3% มันก็ไม่เท่ากับเงินเฟ้อในค่าอาหาร ซึ่งเป็นของที่ทุกคนจำเป็นต้องซื้อซะส่วนใหญ่ และมันแพงๆขึ้นเรื่อย นี้ยังไม่รวมค่าน้ำมันหรือค่าเดินทางที่แพงขึ้น





จากข้างต้นผู้ชายคนนี้แยกหลายบัญชีเพื่อแยกค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันในคนละส่วน แต่ถ้าวันนึงเขาเกิดมีลูกขึ้นมา มีครอบครัว การจัดการเรื่องเงินทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เงินที่เคยเอาไปออมก็ออมให้ลูกแทน พอลูกเข้าโรงเรียนก็ต้องเอาเงินออมมาใช้ เมื่อเอามาใช้ก็ไม่ได้ดอกเบี๊ย เว้นแต่ว่าคนเป็นพ่อแม่จะต้องมีวิธีบริหารเงินแบบสุดโด่ง อดได้ทนได้ มีกินก็ได้ ไม่มีก็ได้ ประเด็นที่ผมพูดถึงตรงนี้คือการความก้าวหน้า ขยันพัฒนาการ การเรียนรู้ ประสบการณ์ อย่างต่อเนื่องต่างหากที่นำไปสู่อิสระภาพที่แท้จริง ส่วนเรื่องเงินทองมันจะตามมาเอง



เมื่อวานได้คุยกะเพื่อนเนื้อหาน่าสนใจว่า การทำอะไรต้องแตกต่าง แต่ต้องแตกต่างขนาดไหนล่ะ ซึ่งคุยไปคุยมาผมขอสรุปใน Version ของผมนะครับ ถ้าคุณต้องการแตกต่างมากๆ หมายถึงสิ่งที่ ไม่เคยมีใครบนโลกทำได้ เมื่อทุกคนในโลกคิดได้แต่ทำไม่ได้เลยกลายเป็นเรื่องเกินจริง การทำสิ่งที่แตกต่างแบบสุดโต่งจำเป็นที่จะต้องถวายชีวิตกับการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เมื่อคุณสามารถทำออกมาได้โลกจะจดจำเพราะไม่เคยมีใครคิดว่าจะทำได้ เช่น สองพี่น้องตระกลูไลท์ คนคิดค้นเครื่องบิน สตีฟ จ๊อบ คนคิดระบบ IOS Bill Gate คนคิดค้น ระบบ Window  แต่ผมเข้าใจว่าในแต่ละวงการย่อมมีการทำสิ่งที่แตกต่างที่ต่างกัน สมมุติวงการหนัง คนคิดบทสามารถคิดอะไรที่แตกต่าง ซึ่งไอเดียมันค่อนข้างกว้าง มีคนคิดมาแล้วมากมาย เช่นพี่มากพระขโนงที่ฟันรายได้ถล่มทลาย คำถามคือเป็นเพราะการเอาเรื่องพี่มากพระขโนงมาทำให้ตลกคนจึงมาดูหรือป่าว จริงอยู่ที่ไอเดียของหนังอาจจะดี แต่ถ้าเราเปลี่ยนคนเขียนบท เปลี่ยนนักแสดงจากพวกนี้เป็น พวกหม่ำจ๊กมก อาจจะได้ผลลัพท์อีกแบบนึง แต่มันก็เป็นการทำพี่มากพระขโนงในเวอร์ชั่นตลกเหมือนกัน การนำเสนออะไรที่ทำให้คนดูชอบมันขึ้นอยู่หลายปัจจัย เราไม่สามารถตัดสินว่าอะไรดีเพราะ .... สิ่งนี้สิ่งเดียว ทุกอย่างที่ออกมาตีเกิดจากการลงตัวของทุกปัจจัยที่รวมเข้าด้วยกัน





Topbeatbox # ชิวดิว่าาา