วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Day 19 ขโมย หรือ โอกาส By Kanthorn


เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา...ก่อนนอนตอนประมานตี 3 ผมก็ไปบังเอิญไปเห็นอะไรบางอย่างในหน้า News Feed  Facebook ของผมแล้วทำให้เกิดไอเดียใหม่ในการทำธุรกิจของผมขึ้นมาได้....อีกวันตื่นเช้ามามีนัดกินข้าวกับที่บ้านแฟนร้านอาหาร น้องเนย ซีฟู้ด ตรงข้างๆเซ็นทรัลพระราม 2 ....ผมก็ไปถึงก่อนเวลานัดประมาน 4 ชั่วโมง เลยไปนั่งกินข้าวเดินเล่นกับแฟนผมในเซ็นทรัลแล้วผมก็เล่าแผนการทั้งหมดที่ผมคิดให้แฟนฟังแล้วก็ชวนมาทำด้วยกัน เพราะตัวผมเองนั้นไม่ค่อยถนัดทางนี้เท่าไร....จะว่าไม่ถนัดก็ไม่เชิง เพราะที่บ้านผมทำธุรกิจประเภทนี้โดยตรง...ที่บ้านผมทำธุรกิจส่งออก Jewelry แต่ตัวผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยถือว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเลยก็เป็นได้ ผมจะถนัดเรื่องตลาดการเงินมากกว่า ถ้าให้เข้าไปทำมันไม่ใช่แนว มันไม่มี passion แล้วจะไปทำได้ดีได้ยังไง...และไอเดียสิ่งที่ผมคิดได้นั้นมันค่อนข้างใหม่สำหรับที่บ้าน และถ้าทำได้จริงผมว่ามันท้าทายดีนะ มันค่อนข้างออกนอกกรอบไปนิดนึง...

ผมจะยังไม่ขอบอกว่าสิ่งที่ผมคิดได้มันคืออะไร แต่มันเกี่ยวกับธุรกิจประเภท Jewelry แน่นอน....ด้วยสิ่งที่ผมคิดได้ตอนนี้นั้นมันก็แค่แผนการที่พูดขึ้นมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ....การที่จะทำให้เป็นเนื้อได้นั้นผมต้องทำการหาข้อมูลหนักมาก ดูว่ามีคู่แข่งแค่ไหน และจะไปขโมยไอเดียจากไหนมาแล้วทำให้ดีกว่า....โชคดีมีแฟนช่วยทำก็คิดว่าน่าจะเหนื่อยน้อยลงหน่อย (ไม่ก็เหนื่อยเยอะกว่าเก่า ฮ่าๆๆ) ......ตอนนี้ก็กำลังรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่มีจากการหาด้วยตนเอง เพราะไม่แน่พรุ่งนี้ หรืออีก 2 วันก็อาจจะเข้าไปลองขอคำปรึกษาจากอาเจ็ก(นัดไว้ละแต่ไม่รู้จะว่างตอนไหน) แต่การที่ผมจะเข้าไปขอคำปรึกษาจากทางผู้ใหญ่ได้ผมต้องไม่เข้าไปมือเปล่า ผมต้องเข้าไปพร้อมกับข้อมูลที่ผมมี และจะเป็นข้อมูลกากๆจาก google ไม่ได้ เพราะผมเคยเห็นญาติผมโดนด่าอย่างหนัก เพราะดันโง่เอาข้อมูลจาก google แล้วปริ้นไปให้...อาเจ็กผมพูดว่า "กูไม่ได้โง่นะ! ถ้ามึงเอาข้อมูลโง่ๆจากใน google มาให้กูดูแค่นี้ กูให้ลูกน้องกูทำให้ก็ได้...แต่สิ่งที่กูต้องการจากมึงคือไอเดีย และประสบการณ์ตรงที่มึงมี" ....ทุกวันนี้ผมยังจำคำนั้นได้แม่นยำไม่เคยลืม..

เท่าที่ผมมองตอนนี้ผมได้เปรียบกว่าคู่แข่งคนอื่น เพราะผมมีต้นทุนที่ดีกว่า เพราะมีโรงงานทำเองได้ ดังนั้นต้นทุนผมจะถูกกว่ามาก....และที่สำคัญสิ่งที่ผมคิดได้ผมมองว่ามันใช้ต้นทุนน้อยอยู่แล้ว แต่การที่เราจะใช้ต้นทุนน้อยได้นั้นมันก็มาพร้อมกับ "ความคิดสร้างสรรค์ที่เยอะกว่ามาก" ความคิดสร้างสรรค์ตรงนี้ต้องเยอะกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ....ก็คงคล้ายกับการเทรดนั้นละเราต้องบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด...เพื่อผลลัพธ์ที่สูงสุด.

เอาเป็นว่าถ้าทุกอย่างผ่านหมดไม่เกิน 6 เดือน - 1 ปี ผมจะตั้งธุรกิจตัวนี้สำเร็จแน่นอน โดนมีท่านแฟนเป็น CEO ฮ่าๆ....ก็อย่างที่ผมบอกว่าไอเดียใหม่นี้มันค่อนข้างท้าทายความสามารถของตัวผมเองพอสมควรว่าจะทำได้มั้ย....ถ้าทำได้มันก็น่าสนุกอยู่พอสมควร เพราะมันเป็นงานที่ยากมาก....ต้องมารอติดตามผลกันครับว่าผมจะทำได้มั้ย.

----ประเด็นวันนี้ที่ผมจะสื่อคือ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็เป็นขโมยกันทั้งนั้น แต่การขโมยเนี่ยเป็นการขโมยไอเดียกัน.......Bill Gates ไม่ใช่คนแรกที่สร้างคอมพิวเตอร์ของโลกใบนี้นะ...คนสร้างจริงๆตายไปนานแค่ไหนแล้วไม่มีใครรู้ แถมคนจำไม่ได้อีก...แต่ Bill Gates แค่มีความหลงใหลในสิ่งนี้ และได้นำเอาความรู้ที่ตนเองมีไปประยุกต์ใช้แล้วคิดว่าทุกๆบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ใช้...จากนั้น Bill ก็สร้างขึ้นมาให้ทุกคนได้ใช้กันจนถึงทุกวันนี้....ก็รวยไปดิ Mr. Gates ฮ่าๆๆๆ ....ไอ้นักคิดค้นจริงๆก็ตายไปแล้วเป็นแค่ Thinker ไม่ใช่ Doer ... Mr. Bill Gates นั่นใช้ความหลงใหลที่ตัวเองมี + หัวทางด้านธุรกิจ + Long term vision และลงมือทำ ---

"ผมไม่ใช่คนแรกที่คิดไอเดียนี้ได้...แต่ผมเชื่อว่าผมสามารถขโมยมาแล้วทำได้ดีกว่าคนแรกที่คิดมันได้"

ถ้าหากเอามาเปรียบกับการเทรด...Technical ที่พวกคุณใช้กันอยู่ทุกวันนี้ พวกคุณคิดค้นกันขึ้นมาเองหรอ? พวกคุณทุกคนล้วนไปขโมยกันมาทั้งนั้น...บางคนใช้ EMA ผมถามจริงๆว่าคุณเคยสนใจรู้รึเปล่าว่าใครคือบิดาของ EMA แล้วคนที่ใช้ Bollinger Bands เคยรู้มั้ยว่า John Bollinger เป็นคนสร้างมันขึ้นมาแล้วเคยรู้กันมั้ยว่าสตูรคำนวนมันคิดยังไง....ยังไงก็ตามขโมยไอเดียคนอื่นอะทำได้ครับ แต่ต้องไปทำให้แตกต่าง และสร้างสรรค์กว่า...ถ้าเอาแต่ขโมยมาแล้วทำแบบคนนั้นก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอกครับ เพราะคุณไม่ใช่เค้าคนนั้น หรือผู้สร้าง ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็สู้คนที่พยายามทุกอย่างเองไม่ได้หรอกครับ! 

ปล.ผมก็เป็นผู้ใช้ Bollinger Bands คนหนึ่งเหมือนกัน..และผมก็มั่นใจว่าผมได้ขโมยเอาแนวคิดของ John Bollinger และ Kathy Lien มาปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ให้เป็นแนวของผมเองเช่นเดียวกัน.






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น